สิ้นเดือน คือสิ้นใจ ใช่แล้วครับ

เราจะได้ยินว่า สิ้นเดือนนั้นเหมือนสิ้นใจ พอต้นเดือน มันก็เหมือนต้นใจ และเงินก็หายไป ให้รอถึงสิ้นเดือน อันนี้เป็นชีวิตของคนทั่วไป ที่ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมในการใช้ชีวิต เรียกว่า ดำเนินชีวิตด้วยความประมาท เพราะถ้ากังวลเรื่องต้นเดือนสิ้นเดือนนั้น แสดงว่าตัวเองไม่ได้มีความพร้อมในการประมาณ แม้หลายคนบอกว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าที่หาได้ และก็มีของที่อยากได้อีกมากมาย แต่ถ้าเรามีแค่นั้นแค่นี้ ก็ต้องตัดในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะ ลำพังแค่ กินอยู่ มีก็มีความพอดีของมัน คือ มีมากก็กินได้มากหน่อย มีน้อยมันก็ต้องกินน้อยหน่อย แต่ถ้าความน่าเบื่อ อยากเปลี่ยนบรรยากาศ...

เราชอบเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น มากกว่าที่มองเห็น

คนเราเนี่ยก็แปลก มีความเชื่อผิดๆขัดกับตรรกะประจำ ชอบเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ เชื่อสิ่งที่เขาเล่าว่า ไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงไหม หรือมันตื่นเต้นท้าทาย ในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นมาก่อน เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาตินั้น เชื่อกันเหลือเกิน เชื่อกันเกินงามไม่พอดี ทำไปอยากไร้สติ หากเรื่องเชื่อสิ่งที่ทำ เหตุนั้นมาก่อนผล และผลเกิดจากเหตุ โลกนี้ คงไม่บิดเบี้ยว และน่าอยู่ยิ่งขึ้น แต่ถ้าเชื่ออะไรที่ มันเป็นความรู้สึก ถ้าความรู้สึกนั้น เป็นเป็นไปเพื่อในสิ่งที่ดีงาม สร้างความเจริญ มันอาจจะเป็นกุศโลบาย หรือ กุศล...

ระวังคนมีสมอง แต่ไม่ยอมคิด

ช่วงนี้ออกจะเซ็งๆสักหน่อย และไม่ค่อยอยากจะเจอผู้คน จริงๆแล้วทุกวัน ผมเจอคนถามปัญหาค่อนข้างเยอะในแต่ละวัน ถ้ามีเวลา และอารมณ์ตัวเองดี ก็จะพยายามตอบ หรือแก้ปัญหาให้ได้ หรืออย่างน้อยบอกทางไปต่อให้ ตามเท่าที่เรามีความรู้ และประสพการณ์ แต่มันก็มีคนอยู่พวกบางจำพวก พวกนี้จริงๆแล้ว ก็มีความรู้ แต่ไม่รู้ตอนเรียนใช้แต่ส่วนความจำหรือเปล่า ไม่ได้ใช้ส่วนประมวลความคิด เราจะได้คำถาม ที่ดูไม่น่าตอบ ไม่มีความลึกของปัญหา ไม่มีมิติเลย น่าจะดูเหมือนว่า พอรู้อะไรมาก็ส่งต่อ ไม่ได้กลั่นกรอง ซึ่งเราพบพวกนี้ได้ทั่วไปในกลุ่ม social...

นวัตกรรมที่ทำให้คนที่อยู่รอด

มีคนถามผมว่า จะทำอย่างไรให้อยู่รอดในสภาวะอย่างนี้ เศรษฐกิจแย่ ปัญหาทั้งภายในประเทศ ปัญหาจากภายนอกประเทศ ปัญหาร้อยแปดมืดแปดด้าน มองไม่เห็นแสงสว่าง มันก็คงจะเริ่มต้นต้องดูตัวเอง ถ้าตัวเองยังดีอยู่ ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าตัวเองแย่ลงและแย่ลง ก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนเท่านั้นที่จะมีโอกาสที่อยู่รอด เพราะไม่เปลี่ยนมันก็อย่างที่เห็นๆคือ แย่ลงๆ ไปเรื่อยจนตายไป ไม่ต้องมาคุยกับผมนะครับว่า ครั้งนึงเคยเป็นอย่างไร เคยยิ่งใหญ่อย่างไร เพราะมันผ่านมาแล้ว และเวลาไม่หวนกลับ มันคงไม่ย้อนมาอีก สิ่งที่เราต้องเริ่มต้นคือ เปลี่ยนครับ เริ่มที่เปลี่ยนตัวเองก่อน...

เจ้ามือหวยกับคนเล่นหวย ความเป็นมืออาชีพมันต่างกัน

คนซื้อหวยนั้น มองว่าการซื้อเลข เป็นการเสี่ยงดวง การได้เลขนั้น ก็หากันตามหลักความเชื่อของแต่ละคนที่สุดแสนจะงมงาย ความฝันเอย ฝันว่าเห็นเลขอะไร หรือมีใครบอกในฝัน หรือเอาฝันนั้นมาตีเลข การเจอสิ่งแปลกประหลาดจากธรรมชาติ ก็มองถึงความหาได้ยากแบบผิดปกตินั้นเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พวกแมวห้าขา หมาสองหัว กล้วยยักษ์หัวปลียักษ์ ก็ยังเอาไปตีความตีเลขด้วยต่างๆนานา ซึ่งคนเล่นหวย ก็แทงเลขแล้วแต่ความเชื่อและได้มาของเลขแตกต่างกันไป ซึ่งก็ไม่น้อย การเล่นหวยเล่นได้ระดับหลักเศษบาทยันเป็นล้าน มันก็ครอบคลุมทุกคน ทุกชนชั้นในสังคม ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีฐานเล่นกว้างมาก เล่นมากเล่นน้อยแล้วแต่ความพอใจ ที่ไม่ได้ดูถึงสถานะทางการเงิน เราจะได้ยินข่าวเล่นกันเกินตัวก็เยอะแยะไป...

ได้เจอคนเก่งๆ ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่ไปถามหรืออวดเก่ง

เรื่องหน้าตานั้นยอมกันไม่ได้ มีคนฉิบหายมานักต่อนักแล้ว กับการไม่ยอม ต่อให้เราเจอใคร เราก็พยายามแสดงออกว่าเราเก่ง แต่คนที่เก่งและเจอคนเก่งๆตลอดเวลานั้น เค้าจะมีความถ่อมตนอยู่ เพราะมันผ่านจุดที่ฉันเก่งมาแล้ว เวลาคุยเหมือน คุยเรื่อง IQ แต่ไร้ EQ ไม่มีใครไม่เก่งหรอก แต่การแสดงออกถึงการอวดเก่งนี้ มันบอกถึงความไม่เก่งทันที เจอผู้ใหญ่ ต้องให้เกียรติ เจอคนเก่งต้องฟัง อย่าไปพูดมาก ยิ่งพูดมากยิ่งเปิดจุดอ่อนให้เห็น ยิ่งพูดมากมันจะทำให้เราดูแย่ขึ้นไปถนัดตา ฝึกถ่อมตน เรียนรู้ไว้มากๆ ไม่มีใครเรียนรู้จากที่ตัวเองพูด...

ยอม และ ยอมรับ

ปัญหาของ generation gap  มันเป็นปัญหาที่ classic มากๆ เพราะ เด็กก็อยากได้รับการยอมรับของผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ก็อยากให้เด็กได้เข้าใจถึงประสพการณ์ที่เขาฝ่าฟันมา จริงๆอยู่ที่พอคิดไม่เหมือนกัน มันก็ไม่ยอมฟังกัน ด้วยมานะทิฐิต่างๆ ทำให้ยอมกันไม่ได้ หากถ้าเด็กฟังผู้ใหญ่มันก็ดูเหมือนเด็กยอมเดินตาม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากเด็กไม่ฟังผู้ใหญ่ก็ดูก้าวร้าว เหมือน เด็กทำอย่างไรก็ผิด แต่จริงๆต้องดูว่า การที่เราต้องเปลี่ยนจากที่เรายอมนั้น ทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ใหญ่ได้อย่างไรมากกว่า มันเป็นโจทย์ของการอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างสมานฉันท์ ถ้าผู้ใหญ่ไม่ปรับตัวมาหาเรา เราก็ควรจะต้องยอมปรับตัว...

ความผิดที่ไม่ผิด

บางเรื่อง เวลาพูดถึงเรื่องความถูกผิดนั้น มันเป็นปัญหาใหญ่โต ใครผิดมันก็เหมือนเป็นคนเลว ให้ถูกเหมือนเป็นคนดี แต่เราให้พลังกับถูกผิดมากไป เพราะความผิดนั้นมันทำให้เราแยกแยะและหาความถูกได้ หากไม่มีความผิดเอาเสียเลย เราจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเราไม่ยอมให้โอกาสคนทำผิด( ไม่ให้กำลังใจ มองคนผิดเป็นคนเลวอยู่นั่น คนก็ไม่กล้าจะทำอะไร เพราะกลัวจะผิด จนไม่มีอะไรก้าวหน้า ทำถูกอยู่กับที่ซ้ำๆเดิมๆ จากถูกจนมันผิด และเราก็ยังตีความว่ามันถูกอยู่ เพราะเพียงว่ามันเคยถูก จิตใจต้องเปิดให้กว้าง ให้โอกาสกันบ้าง ยอมกันหน่อย ถึงไม่ก้าวข้าม แต่มันก็ต้องมองมากกว่าปลายทาง RIZright&wrong

ถ้าคุณอยากรู้จักลูกค้าของคุณ คุณต้องทำ…

โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา ไม่ใช่อะไรที่คุณคิดว่าดี คิดว่าขายได้ มันต้องดี และขายได้ เพราะคุณอาจคิดไปเอง มันไม่เรื่องถ้าคุณอยากรู้จักใครสักคน คุณมัวแต่พูดให้เค้ารู้จักคุณ แต่คุณไม่ยอมเรียนรู้จักเขา ไม่ยอมฟังเขา เราก็จะไม่รู้อะไรเสียเลย ถ้าคุณอยากรู้จักลูกค้าของคุณ คุณต้องลองคิดแบบเขา ถ้ายังคิดแบบเขาไม่ได้ ให้เดินตามเขาไป ดูเขาเดิน ดูเขามอง ดูเขากิน ดูเขาใช้เงิน ดูกิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้เวลาแบบเขาให้นานเท่าที่เราจะมีเวลา เพราะถ้าคุณจะขายของให้เขา เราต้องรู้ว่าเขาต้องการอะไร โดยไม่ต้องเอ่ยถาม มันไม่ใช่แค่คุณถามเขาตอบ...

มีเงินเท่าไร ถึงจะพอ

ถ้าเป็นสมัยก่อนผมคงต้องตอบมี สิบล้าน ร้อยล้านด้วยเหตุผลทางการคำนวนต่างๆนานา ต้องมีเก็บออมไว้ เพื่อยามแก่ชรา ต้องเผื่อโน่นเผื่อนี่ แต่ ถ้าเรามุ่งมั่น ที่จะทำเพื่ออนาคตนั้น แล้วทำไม่ได้ละ และปัจุบันตอนนี้ละ ถ้าอนาคต คุณป่วย เงินที่มีอาจจะช่วยคุณได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่พอที่ทำให้คุณหาย ถ้าคุณแก่ตัวไปแล้วโดนโกง เงินที่มีเก็บไว้ใช้ในตอนแก่นั้น ก็อาจจะหายไปหมดได้ ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องใช้ ต่างๆนานา จนต้องแลกกับอนาคตของคุณละทั้งหมด มันก็หายไปได้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร มันก็ดี แต่คิดมิติเดียวสุดโต่ง...