เมื่อเราประเมิินราคา

สินค้าต่อให้มีราคากลาง มันก็ย่อมมีคำอธิบายว่า คิดราคาจากอะไรบ้าง บ้างก็คิดจากราคาทุน รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ และมีส่วนต่างเป็นกำไร จะเป็น เปอเซน จะเป็นเลขกลมๆ หรืออนุมานก็ตามที จะเป็นราคาของคนอื่นก็ตามที แต่มีกี่ทีที่เราเราประเมินราคาของเราเอง   การประเมินราคาถือเป็นศาสตร์และศิลป์ชั้นสูงที่ต้องใช้ความเข้าใจและประสพการณ์ แต่จริงๆแล้ว คือ ถ้ามีสองฝ่าย ก็ให้ทั้งสองฝ่าย ได้เข้าใกล้กันมาที่สุด คือ นอกเหนือจากราคาความจริงของมัน คือราคาของความคาดหวัง ที่ผู้ซื้อและผู้ขายต้องการ จะทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ทั้งสองได้บรรจบกัน บรรลุข้อตกลงร่วมกัน...

คนที่ละเอียดเกินไป ก็พลาดได้

การที่จดจ่ออะไรสักอย่าง มันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะการทำงานโดยทั่วไปแล้ว มันต้องทำด้วยความละเอียด แต่เมื่อ มุ่งมั่นทำมันอย่างเดียว จนบางครั้ง ทำให้เราลืมสิ่งรอบข้าง ว่าโลกนี้หมุนเร็วเพียงใด การทำงานที่ดี ต้องมองถึงเป้าหมาย รู้รอบ และรู้ครอบ   แต่คนเรามักได้อย่างจะเสียอย่างหรือลืมอีกอย่าง หากไม่ได้มีสติตรวจทานอย่างดีก็จะเกิดความเสียหายได้ คนที่ระเอียดก็มักจะลืมภาพรวม คนที่มองแต่ภาพรวมก็จะไร้ความละเอียด อันนี้เป็นเรื่องคนส่วนใหญ่ บางครั้ง ประสพการณ์ที่พบกับความผิดพลาดมันก็สอนเราหลายๆอย่าง แต่พอถึงเวลาจริงๆ ประสพการณ์ผิดพลาดก็ซ้ำรอยเกิดขึ้นได้ เพราะรีบไป มักลืมฉุกคิด...

when กับ how

จริงๆผมก็ฟังเรื่องราวของคนมาเยอะ ทุกคนก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ แต่พอจะแยกได้ออกมาเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ถาม ว่า when คือเมื่อไร เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะมีแฟน เมื่อไรจะประสพความสำเร็จ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไร เพราะคำว่าเมื่อไรมันก็ต้องมีองค์ประกอบ เช่น ทำแล้ว ปรับแล้ว แก้ไขแล้ว เพราะ มันดูเหมือนถามลอยๆ ถามหมอดู แล้วก็บอกวันเดือนปีเกิด หรือยื่นมือให้ดูลายมือ ต่างๆนานา บ้างก็มี ไปแก้ดวง...

จิตวิญญาณของความถูกต้อง

สิ่งที่เรากระทำ มันจะเป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกขาน คนจะเชื่อใจไม่เชื่อใจ มันก็อยู่ที่ชื่อเสียงมา ชื่อเสียงมันก็มาจาก สิ่งที่คนๆนั้นได้สั่งสม หากทำดี เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดเหตุใดๆก็ตามและยังคงรักษาความดีอยู่ ชื่อก็จะเป็นตัวแทน บางที เราก็ทับศัพท์มาเลย เช่น ล่ำซำ เป็นนามสกุลของเศรษฐี ตระกูลหนึ่ง ที่รวยมาก เราก็ใช้คำว่า ล่ำซำ อธิิบายถึงความรวย ถ้าเราเรียกใครว่าล่ำซำ ก็แปลว่า รวย เพราะชื่อพวกนี้ไม่ได้มาอย่างข้ามคืน มันค่อยๆก่อร่าง...

ความสมดุลย์ของการทำการตลาดระหว่าง off-on line

บ่อยครั้งที่ผมถูกถามว่า อนาคตของการซื้อขายจะเป็นเช่นไร ผมก็จะบอกว่า อุปโภคบริโภค จะหันมาด้าน online มากขึ้น แต่ปัจุบัน มันยังไม่ถึงจุดนั้น การตลาดจึงยังต้องทำควบคู่ผสมผสาน และอัตราส่วนมันก็ต้องอยู่ที่ระดับกลุ่มคนที่กำลังจะก้าวไป ความสมดุลย์ของการตลาด ไม่ใช่ อัตราส่วนที่ 50:50 แต่มันเป็นการตอบโจทย์กลุ่มคน ที่กำลังจะก้าวไปอนาคต ถ้าคนมากน้อยอยู่ขนาดไหนเราก็ทำให้มันไป จะทำการตลาดบริสุทธิเลือกข้าง คนก็ยังไม่แน่ใจ วันนี้กับ 5ปีที่แล้ว มันก็แตกต่างกันมาก แต่มันแตกต่างถ้านับวันนี้กับวันก่อนที่ผ่านมา แต่ความรู้สึกการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน...

เมื่อโอกาสมาถึงด้วยความชอบธรรม รับไปเถอะ

โอกาสจะเป็นสิ่งที่ มันมาของมันตลอด แต่การมาของมัน บางทีคนก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ชอบโอกาสมันบ้าง หรือไม่ชอบบ้าง แต่หลายๆครั้ง เห็นคนที่ปฎิเสธโอกาสแบบไม่รู้จะปฎิเสธทำไม จะบอกว่า ไม่ใช่แนว แต่เมื่อฟ้าพร้อม คนพร้อม ใยต้องเลี่ยงด้วย บางที เพราะความเกรงใจของคนเรา ทำให้เราไม่กล้า การที่จะยืนเป็นแถวหน้า มันก็ไม่ชิน แต่เมื่อถ้ามีใครผลักเราไปยืนเป็นผู้นำ แล้วรอบข้างยินดี ไม่ลองสักหน่อยเหรอ   จะให้ถูกต้องและถูกใจเราอย่างเป็นที่สุดนั้น คงจะแทบไม่มี...

อย่าอยู่ใกล้คนที่พูดว่าเป็นไปไม่ได้

ทํัศนคติเป็นสิ่งสำคัญ จินตนาการก็มีความสำคัญ แม้ว่าบ่อยครั้งจะเบลอๆถูกๆผิดๆไปบ้าง แต่ถ้าเราอยู่กับคนที่ พูดว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แล้ว จะหาความเป็นไปได้ตรงไหนตอนไหน ในเมื่อเขาไม่เชื่อ เขาอยากอยู่ในโลกที่ปลอดภัย แล้วเราพยายามที่จะก้าวหน้า เมื่อเราฝันหรือจินตนาการอะไร เขาเหล่านั้นก็ไม่เชื่อ และอยากให้เราอยู่ในโลกของความเป็นจริง เป็นจริงที่ปัจุบัน ที่ยังไม่าเกิดขึ้น และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าเราเชื่อเขา เพราะเราไม่ได้เริ่ม และผมไม่ได้บอกว่า มันจะสำเร็จ เพราะมันต้องผ่านการทำให้ถูก ที่เจ็บปวด แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ ห่างไกลจากพวกเป็นไปไม่ได้...

ทำอย่างไรถึงเฮง

ถึงเก่งแค่ไหน ก็สู้เฮงไม่ได้ เก่งอาจจะเรียนรู้ ฝึกฝนได้ ขยันกว่าชาวบ้าน มันก็เก่งกว่าชาวบ้าน พยายามมากกว่าชาวบ้าน มันก็เก่งกว่าชาวบ้าน แต่พอเจอคนเฮงเท่านั้นแหละ ที่เก่งๆ มองตาปริบๆแล้วไปต่อท้ายคนเฮง ที่บอกว่า แข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้นั้น เพราะแข่งอะไรที่เห็นมันก็รู้ทำอย่างไรมันก็เอาชนะได้ แต่เอาชนะในสิ่งที่มองไม่เห็น มันก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรมีดีแค่ไหน   แต่จริงๆคำว่าเฮง มันไม่ใช่อยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมา มันก็ย่อมมีที่มาที่ไป มันไม่ใช่แค่ความเชื่ิอ แต่ถ้าเราอยากมี เราก็ต้องเชื่อ...

ในแง่ร้ายของความอยาก คือทำให้เราจน

ทุกอย่างมีเหรียญสองด้าน มีดีและไม่ดี แต่ปกติ เวลาคนคุยกัน จะคุยเพียงด้านเดียว เพื่อความสบายใจ เป็นการให้กำลังใจ หรือขัดความไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่มันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะถ้าเราไม่รู้คครบรู้รอบ มันก็จะทำให้เราตัดสินใจเท่าที่รู้และมันน้อยไปไม่เพียงพอ   ความอยาก คำนี้ ทำให้เราดิ้นรน กระเสือกกระสน มานะพยายามเพื่อจะได้มันมา ทำให้มีความตั้งใจไขว่คว้า ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย แต่จริงๆ ความอยากมันก็ไม่เป็นตรรกะอยู่แล้ว เพราะการได้มาในสิ่งบางอย่าง มันไม่มีความจำเป็นต่อชีวิต มันก็สิ้นเปลือง ทั้งทรัพยากร...

สินทรัพย์ของคนขายคือคนซื้อ

ถ้ามีคนซื้อ แต่ไม่มีคนขาย คงกร่อยทีเดียว นักการตลาดที่ดี ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คนอยากซื้อ จะทำแล้วได้ผลไม่ได้ผลก็อยู่ที่ ผลตอบรับ ถ้าทำได้มาก ถือว่าเก่ง ถ้าได้น้อย ก็อาจจะเจ๊งไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งของและอุตสาหกรรม ปกติแล้ว นักการตลาดต้องเป็นคนที่ทันโลกและทันสมัยอยู่เสมอ เข้าใจแรงเหวี่ยงของกระแส ว่าไปทางไหนและต้องทำอย่างไร ทำอะไรกับคนกลุ่มไหนยุคไหนก็มีความแตกต่างในการดำเนินชีวิตของแต่ละกลุ่มนั้นๆ เด็กอาจจะใช้สื่อที่มีความรวดเร็ว ผู้ใหญ่อาจจะต้องใช้วิทยุอยู่ คนเฉพาะทางอาจจะต้องไปจัดกิจกรรมในแหล่งที่เขาพบปะสังสรรค์ ลูกค้าอยู่ที่ไหน เราต้องไปที่นั่นไปตามมาให้ซื้อ ระวังอย่าใช้ผิดประเภทเพราะมันแป๊ก ไม่มีสูตรสำเร็จ มีแต่สูตรที่พลิกแพลง...