ถึงฝึกมาดีแล้ว แต่บางคลิ๊ก มันก็หลุดได้

สติ เป็นสิ่งที่หลุดได้ง่ายมาก หากปกติ ไม่ได้มีอะไรมายั่วยุ สติมันก็คงตัวอยู่ได้ หากเราเห็นเรื่องราวของคนอื่น เราก็มีสติคิด และเตือนคนอื่นได้ หากไม่ใช่เรื่องเราก็ไม่มีปัญหา หาปกติวิสัย สติที่คงอยู่ก็จะทำให้เรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน แต่หากมีอะไรมายั่วยุ ผู้ที่ฝึกสติมาบ้าง ก็จะมีระดับความทนทานตามระดับ หากผู้ที่ฝึกมาน้อย มีนิดหน่อยมายั่วยุ ก็อาจจะคุมไม่ได้ แต่ผู้ที่คิดว่าฝึกมาดีแล้ว พอเจอสิ่งยั่วยุ มันก็จะได้ทดสอบ ว่าคงสติอยู่ได้ไหม ถ้ายังทำไม่ได้ ก็ไปสำนึก แล้วก็ฝึกต่อไป ของพวกนี้...

value added มันต้องมี value creation

ปกติจะขายของให้แพง มันต้องมีอะไรสักหน่อย จากวัตถุดิบ เอามาเพิ่มมูลค่าไปเป็นช่วงๆ เช่นอาหารสักจาน มันก็ต้องประกอบวัตถุดิบ ซื้อของพื้นๆมาจากตลาด เอามันปรุง <–เพิ่มคุณค่า แล้วขาย อันนี้ จะได้เพิ่มคุณค่า 1ครั้ง ก็ขายได้ราคาระดับนึง แต่ถ้า เอามา จัดจานให้สวยงาม <–เพิ่มคุณค่า แล้วขาย อันนี้ จะได้เพิ่มคุณค่า 2ครั้ง ก็ขายได้ราคาระดับแพงขึ้น ถ้าเอามาขายในร้านที่สวยงาม <–เพิ่มคุณค่า มีการบริการที่ดี <–เพิ่มคุณค่า มีเรื่องเล่าของสินค้าที่ขาย <–เพิ่มคุณค่า...

แรงบันดาลใจ มันเป็นตัวจุดประกาย แต่ถ้าไม่ทำ มันก็มอด

ทุกๆวัน อ่านข่าวเพื่อสังคม หรือสัมนาต่างๆ มีการพูดถึงเรื่องแรงบันดาลใจกันทั้งนั้น ให้คนที่ประสพความสำเร็จในชีวิตมาพูด ว่าชีวิตเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แรงบันดาลใจมาจากอะไร พูดให้คนทุกคนที่อยากจะทำอะไรทำ เราฟังทั้งหมด ก็จะฟังจากจุดเริ่มต้น แต่ไม่น้อยคนที่จะสนระหว่างทางเดิน เพราะ มันยาก ลำบาก เหนื่อย ต้องผ่านความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน ความพยายามน่าจะเป็นหลักมากกว่า แต่เมื่อคนฟัง อยากหาสูตรสำเร็จ เอาแต่ง่าย เอาแต่สบาย สิ่งที่ได้ฟัง มันก็ทำให้เราคล้อยตามเห็นดีด้วย ปลุกแรงใจขึ้นมา แต่พอลุกขึ้นมา...

คุณค่าของการไม่ทำอะไร

หากคุณคิดว่า ชีวิตมีค่าต้องทำงาน ต้องหาเงิน ถูกครับ แต่ถูกแบบไม่ใช่ ดื้อด้าน ตะบี้ตะบันไปเรื่อย เพราะ เราทำงานทุกวัน มันก็มีวันดี และวันไม่ดี ถ้าวันดีเยอะ ก็ได้มากหน่อย แต่ถ้าวันดีน้อยหน่อยก็ย่อมได้ดีน้อยหน่อย ซึ่งถ้าวันไม่ดีมากหน่อย เป็นวันที่รู้ว่าต้องไม่ฝืน ทำให้น้อยหน่อย มันจะได้เจ็บตัวน้อยหน่อย ชีวิตกับงาน มันก็คล้ายๆกัน ถ้าทำแล้ว เราก็หวังชนะ แต่ถ้าหวังที่ได้ทำ มันก็มีแพ้มีชนะ ถ้าเราเลืิอกเฉพาะที่เราชนะ...

มีศรัทธา ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย แล้วไม่ทำอะไรเลยเนี่ยนะ

ว่ากันจริงๆผมก็เป็นคนที่เข้าวัด เข้าศาลเจ้าบ่อยในระดับนึง ก็นอกจากไหว้พระไหว้เจ้าแล้ว มันก็อดเสียไม่ได้ที่จะสังเกตคนด้วย ได้มองถึงการแต่งตัว การไหว้ การบริจาค การบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฺทั้งหลาย ผมเองก็อาจจะไม่ล่วงรู้ในจุดประสงค์ของแต่ละคน ก็ตามแต่กันไป   แต่ถ้าเขาพยายามแล้ว ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆอาจจะช่วยได้ เพราะมีจริงแบบพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยขออย่างเดียว อันนี้ก็ไม่รู้ฟ้าจะเป็นใจให้หรือเปล่า ถ้าตามตรรกะ คงจะไม่ได้ เพราะถ้าทำแล้วไม่ได้ ไปขออาจจะได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย แล้วมันได้ โลกนี้คงตลกสิ้นดี RIZpray

ฝึกตน ฝึกตน ฝึกตน

เป็นเรื่องที่ยาก ที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวเอง ความเอาแต่สบาย ความเห็นคนอื่นสบาย มันทำให้เราพยายามหาทางลัดที่จะได้เหมือนคนที่พยายามมานาน และบางครั้งเราก็คิดว่า คนที่พยายามทำมานานนั้นมีเคล็ดลับ แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดและทำยากที่สุดคือ ฝึกตน ความพยายาม หาเป้าหมาย ก็ดี แต่ ถ้ามีทัศนคติไม่ถูก มันก็ไปไม่ได้วนอยู่ในอ่าง ถ้าเชื่อว่า และมีทัศนคติว่าทุกอย่าง มาไม่ง่ายนั้น มันผิด ถ้าคิดว่าค่อยๆเดิน และเดินไปเรื่อยๆนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ง่ายกว่า แต่ไม่ถูกใจ ทัศนคติ มันทำให้เราเห็นอะไร...

ทุกอย่างมีค่า ถ้ามองเห็นมัน

วันนี้จะสร้างอะไรใหม่ๆ มันก็ต้องมีต้นทุน แต่เราเอาอะไรที่มีอยู่แล้ว หรือที่เราทิ้ง มาปรับปรุงให้มันเกิดมูลค่า หรือ สร้างมูลค่าเพิ่ม ก็ย่อมดีหลายประการ อย่างแรก คือ ไม่มีต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งจะทำให้เราได้เปรียบในการกำหนดราคา อย่าวสอง คือ ช่วยรักษ์โลก เพราะเราเห็นคุณค่ากับทุกอย่างที่ออกมา เราทำอาหาร เศษอาหารที่เหลือ ก็ทิ้งลงขยะ คนเก็บขยะก็ต้องมา เพื่อเอาไปกำจัด แต่เราทำอาหาร ทานเหลือ เศษอาหารเหลือทิ้งก็ย่อมเอามาหมักเป็นปุ๋ยได้ อันนี้...

จะทำอะไรก็ต้องมีส่วนผสม

หากคิดทำอะไรอย่างเดียวแล้ว มันอาจจะทำได้ หรือทำได้ดี แต่อยู่กับตัวเราคนเดียว ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องมีส่วนผสมอย่างน้อย สองอย่าง คือ สินค้า/บริการ และก็ ขาย มันถึงจะเกิดเป็นธุรกิจได้ ไม่งั้น คนที่ชอบวิจัย ก็จะมี แต่งานวิจัยออกมา แต่มันขายไม่ได้ เพราะไม่ได้รักและไม่ได้ชอบขาย ของมันก็ดีอยู่บนนั้น บนหิ้งนั่นแหละ ทำออกมา ของดี ที่ไม่ได้ทำประโยชน์ หรือนักขายเอาแต่ขายๆๆๆโดยไม่สนใจสินค้า คือเทพแห่งการขาย...

ลูกค้าเขาจ่าย100 เขาก็คาดหวัง มากกว่า 100ทั้งนั้น

ความพอใจ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ มันแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา มันก็มากับความคาดหวัง เราจ่ายไป 100 เราก็อยากได้มากกว่า 100 แต่จริงๆอยู่ที่ เราคิดว่าสิ่งที่เราอยากได้นั้นมันเท่าไร ถ้าสิ่งนั้นเราคิดว่า 200 แล้วเราจ่ายมาแค่ 100 เราจะรู้สึกดี รู้สึกถูก โดยที่ไม่รู้ว่าต้นทุนมันอาจจะมา 50 ก็ได้ แต่เราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร นักการตลาดมันก็ต้องสร้าง value ให้มัน over cost...

อย่าประเมินด้วยสายตาอย่างเดียว

สิ่งเดียวที่หลอกง่ายที่สุด คือ หลอกตา การตบตา สร้างภาพบางอย่างขึ้นมา ให้คนเข้าใจผิด หรือให้คนคิดตามในสิ่งที่เราสร้าง อยากดูเป็นคนรวย ก็โพสไปที่แพงๆ ใช้ของแพงๆ ไลฟ์สไตล์แพงๆ คนที่มองเรา ก็จะคิดว่าเราเป็นคนร่ำรวยไฮโซไป พวกนี้ดูไม่ยาก ถ้ามีประสพการณ์ในการวิเคราะห์หรือมอง สิ่งพวกนี้ นักการตลาด ก็เป็นวิชาสร้างภาพอย่างหนึ่ง ให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาบอก ด้วยการสื่อสารต่างๆ ทั้งสื่อวงกว้าง และสื่อเจาะจง โฆษณาต่างๆ มันยัดเยียดเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัว ไปๆมาๆ...