อะไรก็นวัตกรรม มันใช่ทุกอย่างเหรอ

ความหมายบางความหมาย ถ้าใช้มันจนฟุ่มเฟือย ใช้มันจนคุณค่าของมันด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คำบางคำ มันมีความหมายลึกซึ้ง แต่คนก็เอามาใช้แต่ผิวเผิน ทำให้คนฟังในช่วงแรกๆ รู้สึกตื่นเต้นกับมัน แต่ต่อมา ได้รู้ว่ามันคืออะไร ก็เห็นเป็นเรื่องปกติ เหมือนมันเป็นวาทกรรม หาคำใหม่ๆมาแทนคำพื้นๆ คำว่านวัตกรรมนั้น จริงๆ มันต้องมาด้วยหลักถึงสามข้อ 1 เป็นสิ่งประดิษฐใหม่ จะใหม่มากใหม่น้อย ใหม่นิดหน่อยก็ตามที 2 ต้องใช้ หรือให้บริการในเชิงพานิชย์ได้ หรือปั้มได้เยอะๆ ถ้าเป็นเฉพาะกลุ่มก็ต้องใหญ่ระดับหนึ่ง...

การสร้างธุรกิจใหม่ อย่าลอกมันเต็มๆ

แม้ว่ากระแส startup หรือการสร้างธุรกิจให้โตอย่างรวดเร็วนั้น เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วๆไป ที่ยังไม่มีงานหรือมีงานประจำนั้น ได้หันมาทำกัน แต่การคิดจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องมองให้ลึกซึ้งถึงแก่นมันจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นคนอื่นทำแล้วดี แล้วเราก็ทำได้ เพราะถ้าแค่นั้น ใครๆก็ทำ แล้วกระโดดเข้ามาแข่งกัน สำหรับคนที่ไม่มีอะไรดีกว่า มันก็ฟัดกันที่ราคา ทำไปมาขาดทุนเงินทองเสียเวลาเปล่าๆ เราต้องมองไปถึงปัญหา และจะดีมากหากปัญหานั้นเกิดขึ้นกับตัวเราเอง และนอกจากเกิดขึ้นกับตัวเราเองแล้ว มันก็เกิดขึ้นกับหลายๆคน เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเราคิดแก้ไขออกมาได้แล้ว ก็ย่อมมีประโยชน์กับคนส่วนนั้นด้วย หากคิดเป็นธุรกิจ แล้วได้แก้ไขปัญหาให้กับคนอื่น...

คนฟัง ย่อมชนะใจคนพูด

จริงๆแล้วคนเก่งส่วนใหญ่ก็ชอบแสดงออกถึงความเก่งออกมา คือการพูด ในสิ่งที่ตัวเองรู้ มันก็ไม่ผิดนะครับ แต่พอ คนรู้มาเจอกันสองคน มันก็มีการถกประเด็นในหัวข้อเดียวกัน ว่าแต่ละคนรู้และเข้าใจเป็นอย่างไร แต่พอเมื่อสองฝ่ายพูดพร้อมๆกัน ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายฟัง เมื่อเราเอาแต่พูด เอาแต่สิ่งที่ตัวเองคิดแล้วคิดพยายามทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ โดยไม่คำนึงถึงความเข้าใจของเขา เรามัวแต่พูดจะยัดเยียดความรู้ความเข้าใจของเราให้เขา แต่ความเข้าใจของเขามีแค่ไหนเรากลับไม่สนใจ ผู้ที่พูด มักเปิดเผยจุดอ่อนของตน เพราะไม่มีสติและเวลาไปสังเกตุอีกฝ่ายหนึ่ง คนที่ฟังมักได้เปรียบ ได้รับรู้ ได้คิด ได้ประเมินว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ต้องการบอกอะไร เมื่อเรารู้แล้ว เราก็สามารถตอบกลับให้ตรงประเด็นได้...

ไฟล่อแมงเม่าได้เสมอ

เรามักเห็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่ก่อนแมงเม่าตายแน่นอน เพราะบินเข้ากองไฟ แมงเม่าไหม้ตาย แต่สมัยนี้แมงเม่าอาจจะไม่ตายเพราะ มันวิ่งหาไฟนีนอน…5555 คนเราก็มีความอยากและความโลภ มันก็เหมือนเป็นเม่า ขอให้มีใครก่อกองไฟมาล่อ เราอาจจะขาดสติ วิ่งเข้าไปได้ ความอยากรวย อยากเด่น อยากดัง อยากมี อยากได้ นักการตลาดก็เอาจุดต่อมอยากมาล่อ ง่ายๆเลย แค่นี้ ส่วนใหญ่วิ่งเข้าไปตาย ลดราคาทะลุพิกัด มันไม่ได้อยู่ที่% อย่างเดียว มันอยู่ที่เรารู้สึกว่ามันถูกจนต้องซื้อมาก่อน ที่จะถามว่า...

ตอนที่คิดไม่ออก สมองจะพาเราไปไหน

มันก็มีบางวันครับ ที่ผมคิดอะไรไม่ออก พยายามเค้นก็ยังไม่ออก รู้สึกเลยว่าสมองล้า อยากจะหนี ผมก็ปล่อยให้มันเตลิดไป เพราะผมก็อยากรู้จะพาผมไปไหน มันพาผมไปยุค90s ครับ อยากฟังเพลง อยากดูหนัง หรืออยากรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมในยุคนั้น   พอมาคิดๆดู มันก็หลายครั้งครับ ที่คิดไม่ออกแล้วมันก็วนเวียนกลับมาที่จุดยุคนี้ อาจเพราะ ตอนนั้นผมเริ่มโต เริ่มคะนอง เริ่มคิดเองโดยไม่มีกรอบ สนุกกับมันได้เต็มที่ ไม่คิดถึงเรื่องเสียหาย หรือจะมีกินหรือไม่ ได้มาก็ใช้ๆไป มันเทียบกับตอนนี้ไม่ได้...

ห่วงผิดที่ มันก็เท่านั้น

สังคมเรา มีกระแสแปลกๆ และการปลุกกระแสแปลกๆ มันเลยทำให้ตรรกะความคิดมีความแปลกไปด้วย   สังคมเรา ในปัจุบัน อยากจะทำให้เป็นสังคมไร้เงินสด คือ จะใช้การแลกเปลี่ยนทางอิเลกโทรนิกแทน ความห่วงของนักวิชาการที่อ้างถึงแต่ละหัวข้อนั้น ก็น่าสนใจ แต่ไม่น่าเป็นข้อต้นๆ เช่น เรื่องระบบความปลอดภัย ว่ามีความเป็นไปได้ในเรื่องโจรกรรม มีการเปรียบเทียบ หากคุณโดนขโมยกระเป๋าเงิน อาจจะไม่เท่า คุณโดนโจรกรรมทางอิเลกโทรนิกซึ่งทุกอย่างที่มีอาจจะหายไป ใช่ครับก็น่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่ผมห่วงกว่าทุกวันนี้คือ ห่วงหาเงินให้มีกินก่อน มีฝากก่อนน่าจะดีกว่าที่คิดว่า ถ้าเรามีแล้วถูกขโมย...

อย่าอยากได้เหมือนคนอื่นเขา จนเกินตัว

เนื่องจากโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ทำให้เราค้นหาข้อมูลได้หลากหลาย พร้อมกันนั้น มันก็ยัดเยียดข้อมูลของคนหลายหลายกลุ่มมาผ่านตาให้เราด้วย ส่วนต่างของความรู้มันแคบลงเรื่อยๆ แต่ส่วนต่างของการทำงานหาเงินรายได้มันห่างไปเรื่อยๆ สมัยก่อนเราอาจจะไม่รู้เลย ว่าเศรษฐี กินอยู่หลับนอนอย่างไร ใช้เงินเยอะแค่ไหน ใช้ชีวิตไลฟสไตล์ของผู้มีเงินมีทองใช้อย่างไรก็ไม่หมดนั้นเค้า เผาเงินเพื่อความสนุกเป็นอย่างไร แต่สมัยนี้ หากเราติดตามเขาใน FB IG มันก็จะเห็น ไลฟ์สไตล์ ในการกินอยู่ใช้ของของเขา แน่นอน ส่วนใหญ่ ใช้ของที่มีมูลค่าสูงมากๆ ถ้าเทียบสำหรับคนทั่วๆไป กินไวน์ขวดหลักหมื่นหลักแสน กินอาหารหลักหมื่นหลักแสนต่อมื้อ...

คุณค่าที่เขามองเรา

บางทีเราอาจจะมองข้ามบางสิ่งบางอย่าง คือการมองตัวเอง จากมุมมองของคนอื่น ปกติแล้วเราอาจจะมี มุมมอง ความคิด จินตนาการ ที่ออกมาจากข้างในของเราแล้วมองออกไปข้างนอก เราอาจจะเห็นคนอื่นที่มองไม่เห็น และนั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ไม่ดีคือ เรามองไม่เห็นตัวเอง และหากเรามองด้วยตาของคนอื่น เขาอาจจะไม่ได้มองเราอย่างที่เราเป็นเรา บางสายตาอาจจะมองเราอย่างชื่นชม และบางสายตาอาจมองเราและทำให้เราขื่นขม และมันขึ้นอยู่กับใครมองเรา หากเราต้องเจอใคร เราก็ต้องคิดว่าเขามองเราอย่างไร ไม่ใช่แค่ยัดเยียดตัวเราให้เขา ต้องหาจุดพอดี ที่ทำให้เขาสนใจเรา และคงไม่ใช่ตรงกลางตามใจเรา บางคนมองเราเป็นแบบไหน เราต้องเข้าใจ...

the path in success is never go to straight line

ทางเดินแห่งความสำเร็จ มันไม่ได้เป็นเส้นตรงเลยนะครับ เวลาอ่านหนังสือ ทุกคนที่อธิบาย เหมือนง่าย มีจังหวะ มีขั้นตอน แถมแผนภาพเสร็จสรรพ โอ้ย ตอนทำจริง โน่นนี่นั่นปัญหาเข้ามาร้อยแปดอย่าง ไม่เหมือนกับในหนังสือบอก คนที่เป็นโค๊ช ก็พูดไป ง่ายๆ ให้กำลังใจ ไม่เห็นมาทำเอง แล้วไม่มีอุปสรรคบ้าง มันเป็นเช่นไร มันลำบากขนาดไหน ของจริง มันยิ่งกว่านิยาย หรือหนังสือเขียน จะเขียนเส้นตรงจากความสำเร็จไม่มี เพราะ...

บางครั้ง ศัตรูคือเพื่อน หากช่วยให้เราชนะ

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร เพราะบางทีเพื่อนรักมันก็มีหักเหลี่ยมโหด บางทีคนใกล้ตัว มันก็ไม่ใช่จะดีกับเราทุกครั้ง อาจจะมีบ้างที่แทงข้างหลัง หรืออาจจะฟันเราต่อหน้ากันตาใสๆก็มี แต่ มันเป็นเรื่องที่ให้เข้าใจในสัจธรรม คนดีไม่ดี มันไม่ใช่ดีทั้งหมดและตลอด เวลาเราทำดี ก็ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนดี แต่สิ่งดีๆนั้นมันจะเป็นภาพประทับใจคนที่เห็น แล้วเอาอนุมานไปเองก็ได้ เราควรระวังตัวเรา ไม่เพียงแต่ที่เราทำอะไรแล้วมีกระทบคนอื่น เพราะเราคิดว่าดีแล้ว แต่มันเป็นมุมมองของเรา เช่นเดียวกับการมองคนที่คิดร้ายต่อเรา หรือเป็นศัตรูต่อเรา เข้าก็ไม่ใช่เป็นคนร้ายเสมอไป อาจจะร้ายกับเรา แต่เขาอาจจะเป็นฮีโร่ที่บ้านเขาก็ได้ ในบางครั้ง คนที่คิดร้ายกับเราแล้วมาช่วยเหลือเรา...