อย่าคิดจับปลาทุกตัวในมหาสมุทร

ประโยคว่า อย่าคิดจับปลาทุกตัวในมหาสมุทร แม้ว่า มหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไพศาลเท่าไร ก็มีปลาเป็นพันเป็นหมื่นชนิด มันจะใช้วิธีเดียวกันจับปลาทุกชนิดก็ไม่ได้ เราต้องเข้าใจนิสัยของปลาแต่ละชนิด แล้วถึงเลือกวิธีจะล่อมัน จับมันถึงจะได้ การจะขายอะไร แล้วเป้าหมายในการขายคือ ขายได้ทุกคน อันนี้ลำบาก เพราะเหมือนกับอุปมาข้างต้น เพราะความไม่ชัดเจน หรืออยากเหมารวม มันไม่มีวิธีอะไรวิธีเดียวที่จะทำได้ทุกอย่าง มันเหมือน สูตรอมตะ หรือว่าหา จอกศักดิ์สิทธิ์ อย่าพยายามคิดว่ามันมีจริง ถึงแม้ว่าอาจจะมีจริงก็ตาม เพราะมันจะทำให้เราไปผิดทาง จะทำอะไร...

เราต้องขาย moment มากกว่า ขายสินค้า

เพราะการขายสินค้าแบบยัดเยียด มันทำให้เราเอียน ถึงแม้ว่าจะลด แลก แจก แถม ถึงใจอย่างไร พอซื้อๆไป มันก็ถึงจุดพอ เพราะมีเกินพอแล้ว หรือว่าจริงๆแล้ว มันไม่สามารถตอบโจทย์เราได้ตามความรู้สึก และ สินค้าเทียบเคียง ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ทั้งคุณภาพ และราคา ดีไม่ดี ของถูกกว่า อาจจะดีกว่า ก็มีโอกาส แต่ทำไมของบางอย่าง ขายได้ และขายได้ดี เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเค้าขายเรา...

มาตราฐาน มีไว้สำหรับคนทืี่ ไม่ยอมกัน

เวลาเราคบค้าสมาคมกับใครก็ตาม ในบางครั้ง เราก็มีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน และถ้ามีส่วนได้ส่วนเสียในนั้น ก็มักจะไม่ยอมกัน เพราะในมุมมองของแต่ละคน มันเป็นสิ่งที่เราต้องได้ และเค้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน มันเลยไม่ยอมกัน เลยต้องมีคนกลางมาไกล่เกลี่ย หรือมีมาตราฐานที่สังคมยอมรับให้มีขัดเส้นกั้น หรือมาสอบเทียบ อันต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป แต่จริงๆแล้ว ถ้าที่คบค้าสมาคมด้วย เป็นคนที่ไม่คิดมาก เป็นคนที่ยอมเสียมากกว่าได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรมันก็อะไรก็ได้ เมื่อทั้งสองยอมถอยทั้งคู่ ปัญหาต่างๆ มันก็รอมชอมกันง่าย เมื่อทั้งสองเป็็นผู้อยากให้ มากกว่าผู้รัก เรื่องราวต่างๆปัญหาที่เกิดขึ้น็จะไม่เกิด ทะเลาะไม่มี...

จะทำอะไรวันนี้ต้องเคลียร์ให้ชัด ให้คนอื่นรู้เรื่อง

วันนี้ยิ่งตลาดมีความเป็นพลวัตรมากขึ้นเท่าไร โอกาสและตลาดก็มีแรงเหวี่ยงที่จะเป็นของเราและจากเราไปได้ง่ายขึ้น เราต้องมีความชัดเจน เพราะถ้าเราไม่ชัดเจน คนมาหาเราจะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร และขายอะไร เราต้องตอบได้ในเวลาอันสั้น หลักเป็นวินาที เพราะ เราต้องแข่งกับเวลาที่ลูกค้าหันมา ต้องทำให้สนใจก่อนที่เขา จะเดินผ่านไป มันต้อง ชัดเจน และเรียบง่ายว่า เราขายอะไร ขายให้ใคร ใครเป็นคนซื้อ ใครเป็นคนใช้ ใครได้ประโยชน์ ในอดีต ตลาดมันยังมีความคลุมเครือ ไม่มีใหญ่และเชื่อมต่อกันได้ ข้อมูลก็ไม่มีมาก...

ถ้ามีความรู้ แต่ไม่ได้ทำ ก็เปล่าประโยชน์

สมัยนี้ความรู้ มันหาง่าย ไม่ต้องบากบั่น ไม่ต้องค้นหากันหัวแตกเหมือนกับสมัยก่อน ไม่ต้องเข้าไปในห้องสมุด หรือวิ่งไปเฝ้ารอคอยถามกูรู เทคโนโลยีมัน เชื่อมความรู้ ที่เป็นเนื้อหา และความคิดเห็น ของคนที่มีประสพการณ์ เข้าด้วยกัน ถ้าใช้เป็นมันก็ดี แต่พอความรู้มันท่วม ท่วมจนเยอะเกิน เราไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เรารู้แค่ เรารู้ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีมันท่วมจนเป็นโทษเพราะมันทำให้เรารู้จนไม่กล้าไปทำอะไรสักอย่าง แต่ถ้ารู้พอประมาณ แล้วเราก็โง่ พอประมาณ เราก็จะได้ลุยกับมัน ถ้ารู้...

จะทำอะไร เริ่มต้นด้วยเบสิก อย่าเริ่มต้นด้วยแอดวานซ์

ใครๆก็อยากเท่ห์ ใครๆก็อยากดูดี และก็ไม่อยากลำบาก จะเริ่มทำอะไร เราก็อยากทำมันได้อย่างง่าย เหมือนคนที่ทำสิ่งนั้นมานนานแล้ว และถ้าเราไปถามเขา เขาก็บอกในสิ่งที่เขารู้ แต่เราจะทำตามนั้นได้ไหม เราถามเขาว่า เขาประสพความสำเร็จได้อย่างไร เขาบอกเรา เราก็ทำตาม แต่ก็ไม่ได้เช่นกับที่เขาสำเร็จ เพราะ เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเดินต้นทาง ไม่ได้เริ่มต้นด้วยพื้นฐาน เพราะพื้นฐาน มันเป็นอะไรง่ายๆ แต่ก็มีความจำเป็นที่ ต้องฝึกให้ชำนาญ เมื่อเราชำนาญ เราจะปรับเปลี่ยน ดัดแปลง อะไรทำอย่างไรก็ได้แล้ว...

ทำงานทุกวัน ไม่เห็นจะเก่ง

จริงๆ มันแยกได้หลายประเด็น เพราะจริงๆแล้ว การทำงานทุกวัน มันจะเกิดความชำนาญ เมื่อทำบ่อยเข้า มันก็ควรจะต้องเก่งเอง แต่ถ้าไม่ใช่ละ มันเพราะอะไร เพราะเราทำงาน แค่ฆ่าเวลาไปวันๆ รอเวลาเลิกหรือเปล่า มันแค่เช้าชามเย็นชาม เพื่อให้เวลาผ่านไปหรือเปล่า หรือเราทำมันแล้วเราไม่เรียนรู้ไปกับมัน ไม่ได้สังเกตุ ผิดอะไรก็ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกที่จุดเดิม ทำงานไม่มีวิญญาณ ใจไม่อยู่ แล้วจะเรียนรู้ได้อย่างไร จริงๆก็เป็นเพราะทัศนคติ ที่คิดว่า ไม่น่าจะได้เรียนรู้อะไร แต่จริงๆ การทำงาน...

ผิดพลาดก็ แก้ไขมันนะ

เมื่อเกิดการผิดพลาด คนทั่วไปอาจจะเลี่ยง และหรือโยนความผิดให้คนอื่นสิ่งอื่น นั่นคือการไม่ยอมรับตัวเอง ว่าเราทำผิดพลาด มันหลอกตัวเอง และมันอันตรายต่อตัวเอง แต่การจะผ่านให้ได้ คือการแก้ไขมัน แต่ก่อนจะแก้ไขมัน คือต้องยอมรับมัน เรียนรู้มันด้วยความเจ็บปวด เข้าใจมันเยอะๆ พอเข้าใจมัน มันจะเจ็บปวดแต่ปล่อยวาง เมื่อเราแยกแยะสิ่งที่เราทำผิดนั้นได้ ออกมา และหาทาง แล้วแก้ไขมัน เมื่อเกิดเหตุการณแบบนี้ขึ้นในครั้งต่อไป เราก็รู้แล้ว ว่าเราจะแก้ไขมันอย่างไร RIZfixit

เราควรจะเสียเวลาทำที่มันยาก แล้วมันดีขึ้น เก่งขึ้น

การทำอะไรที่สบายๆ มันจะทำให้เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง ใครๆก็อยากทำอะไรง่ายๆ แต่อะไรง่ายๆ ใครๆก็ทำได้ ทำไมต้องเป็นเรา ในเมื่อเป็นคนอื่นเขาก็ได้ หรือคนอื่นแย่งทำไปหมดแล้ว มันจะเหลือถึงเราเหรอ แต่การทำอะไรที่ยากขึ้น พิเศษขึ้น ละเอียดมากขึ้น มันทำให้เรา ต้องเค้นความสามารถของเรา ต้องขวนขวาย มุมานะ ที่ทำให้เราเก่งขึ้น อย่างน้อย เราก็พัฒนาตัวเอง และแน่ๆ คนอื่นคงไม่แย่งเราทำงาน เพราะแค่ต้องรู้ คนส่วนใหญ่ก็แหยงแล้ว แต่เมื่อเราทำ มันทำให้เราพัฒนาตัว...

เพราะไม่รู้ เราเลยกลัว เรากลัว เพราะเราไม่รู้

เพราะความไม่รู้ ทำให้เรากลัว มันไม่ใช่สิ่งไม่ดี แต่เพราะเรากลัวมันไปก่อน เราเลยคิดว่ามันไม่ดี ความจริง มันจะแยกแยะได้ว่าดีไม่ดีได้นั้น เราต้องรู้มันเสียก่อนว่ามันคืออะไร และให้ดีต้องรู้แจ้งกับมัน เมื่อเรารู้จริงแล้ว มันก็ไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป หรือว่ามันน่ากลัว เราก็ไม่ได้กลัวมันอีกต่อไปแล้ว เพราะเรารู้ว่าเราต้องทำอย่างไร RIZunknown