เรามักคิดเข้าข้างตัวเองมากกว่าสถิติเสมอ

เวลาผมคิดเป็นตรรกะ และความหน้าจะเป็น ผมมักคิดเป็นอัตราส่วน คิดเป็นตัวเลข คิดเป็นการเปรียบเทียบ แต่หลายๆครั้ง คนเราก็ไม่ได้เอาตรรกะมาคิด แต่ชอบคิดตามความรู้สึก เป็นประจำที่ผมจะยกตัวอย่างของหวย ที่โอกาสถูกรางวัลนั้น มีอยู่ราวๆ 1%กว่า แต่ผมถามทุกคนที่ซื้อ ถึงเขารู้ว่า 1%กว่าๆนั้น โอกาสจะเสียมีตั้ง 98%กว่าๆก็ตามที แต่เขาก็คิดเข้าข้างตัวเอง ไปถึงระดับ 50:50 หรือมากกว่า 50% เสียอีก เพราะเหตุนั้น เขาจึงซื้อหวย...

ยิ่งรู้ ยิ่งรู้ว่าตัวเองโง่

ผมเองก็คิดว่า ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือเป็นประจำ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็พอสมควร และก็ผ่านอะไรในชีวิตก็ไม่น้อย ประสพการณ์ก็มีพอสมควร แต่ดูเหมือน ยิ่งรู้อะไรเยอะๆ และลึกๆเมื่อไร กลับมองเห็นตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ยิ่งรู้สิ่งที่รู้ของผมนั้น ดูเหมือนผมรู้ว่าผมไม่รู้อะไรมากขึ้น และที่ผมรู้มานั้น มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของความรู้ ผมเข้าใจว่า การจะรู้จริงเห็นแจ้งอะไรสักอย่างนั้น มันต้องเรียนมาทั้งชีวิต ไอ้เรียนแล้วพอทำได้ มันก็เห็นได้แต่การสอนทั่วๆไป เช่นสอนหนึ่งวัน สอนหนึ่งเดือน สอนเป็นปี สอนตามระบบการศึกษาสามัญ แต่การเรียนเช่นนั้นไม่ทำให้เรารู้อย่างแตกฉาน หลังจากที่เรารู้เบื้องต้นนั้น เราต้องไม่สำคัญว่าเรารู้แล้ว...

เมื่อทำงานเป็นกลุ่ม จงอย่าทำตัวเป็น super hero

การทำงานเป็นองค์กร หรือทำเป็นทีมนั้น ต้องแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ และทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนถึงจะช่วยเหลือคนอื่นที่อยู่ในทีมได้ และที่สำคัญคือต้องรู้ตัวเอง ว่าทำอะไรได้ทำอะไรไม่ได้ ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าสิ่งที่เราได้รับมอบหมายและเราทำได้นั้น อาจจะไม่ตรงกับจริตของทีม ก็ต้องปรับปรุงให้เหมาะสม และอย่าหงุดหงิดคนอื่นเพราะเราคิดว่าเราทำได้ดีกว่า เพราะเราไม่สามารถทำอะไร ทุกอย่างทั้งหมดพร้อมกันด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังปลูกความคิดผิดๆ ว่าสิ่งที่เราทำ แบกงานคนอื่นคือความเสียสละ เส้นบางๆระหว่างความคิด ผิดฝั่งมันก็น่ากลัวเหมือนกัน มีคนเก่งมากมาย แต่ก็ไม่สามารถสู้ทีมที่มีระบบได้ สองมือยังไงก็สู้สิบมือยี่สิบมือที่เข้าขากันไม่ได้หรอก RIZdontbesuperhero

ถ้าอยากใหญ่ อยากดัง ต้องเจียมตัว

ตามสันดานคนเราก็ชอบโอ้อวดนะครับ อวดสิ่งที่มี อวดสิ่งที่รู้ ถึงแม้ว่าเราไม่คิดอะไร แต่สิ่งที่เราทำมันเหมือน เกิดขึ้น และประทับอยู่ในประวัติศาสตร์ไปแล้ว เช่น เราโพสบ่นในโลกสังคมออนไลน์ ต่อให้บอกว่าเราเขียนไว้อ่านเอง แต่มันก็จะคงอยู่ในโลกของข้อมูล และอยู่ตลอดไป อย่าใช้อารมณ์ และความคิดไปเองว่า ไม่เป็นอะไร เพราะวันนึง เราใหญ่ เราดัง มันจะมีคนไม่ชอบเรา มาขุดเรื่องเก่าของเรา หาไปเพื่อสกัดเรา กลั่นแกล้งเรา ทำให้เราตกขอบ แต่ถ้าทุกการกระทำที่สื่อออกไป ได้มีการไตร่ตรองดี...

ไม่มีสิ่งไร้ค่า เพียงแต่มันขาดโอกาสพิสูจน์

พอเราเห็นอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ เราก็เริ่มมองในแง่ลบ และมองมันไร้ค่าขึ้นมาทันที แต่เดี๋ยวก่อนครับ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆหรอกครับ เราต้องคิดว่ามันต้องเป็นเพราะอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ที่แน่กว่านั้นสิ่งที่เราคิดตั้งหวังไว้ มันตรงกับสิ่งที่มันเป็นหรือเปล่า ถ้าเราไม่ใช้มันเพราะมันใช้ไม่ได้กับเรา มันอาจจะมีค่ากับคนอื่นก็เป็นได้ เหมือนรองเท้าที่เก่าแล้ว เราไม่อยากได้ไม่อยากให้มันรับใช้แล้ว ดีไม่ดี เราไม่อยากจะเห็นมันแล้ว เราก็ทิ้งมันไปเพราะมันหมดประโยชน์สำหรับเราแล้ว แต่สำหรับบางคนที่ขาดโอกาส เขาอาจจะเห็นมันมีค่าดั่งโชคดั่งทอง มุมมองสายตาที่เขามอง อาจจะไม่เหมือนกับเรา ก็อย่าไปประเมินแบบนั้น มันทำให้เรามองโลกในแง่ร้ายไป RIZuseless

อย่าติอย่างเดียว ชมด้วย

มันเป็นเรื่องยากครับ ที่จะรับอะไรด้านเดียว และถ้ามันสุดโต่ง ก็กลัวจะสติแตกคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อมีคนชม เราอาจจะตัวลอย แล้วคิดไปเองว่าเราดี เราเก่ง เกินจริงไปมากๆ เช่นเดียวกับเมื่อเจอคนว่า มันอาจจะทำให้เรารู้สึกแย่กว่าความเป็นจริง อาจจะแย่ไปกันใหญ่ อย่าทำร้ายคนให้เป็นสุดโต่งแบบนี้ แม้เราจะพูดความจริง มันก็มีพื้นฐานของมันอยู่ จิตวิทยาของคน คนชอบโดนชมเชยและไม่ชอบโดนว่า แต่ถ้าเราผสมมันไปในอัตราส่วนที่พอดี มันก็จะได้ให้คุณค่าทั้งสองด้าน ติเพื่อให้ก่อ เพื่อให้ปรับปรุงไปพร้อมกับการให้กำลังใจ หรือชมเชยในสิ่งที่ที่ทำ ให้ิเขามีกำลังใจที่จะทำต่อ พัฒนาให้ดีขึ้น RIZgoodfeeling

ดูคนมันต้องดูนานๆหน่อย

จะรู้จักใครสักคน ความประทับใจแรก มันก็แบ่งแยกได้ระดับคัดกรองเท่านั้นครับ คือจะไปต่อ หรือไม่ไป แต่ถ้าจะให้เข้าใจ มันต้องใช้เวลาเหมือนกันครับ ครั้งแรก มัน ยังบ่งบอกอะไรมากไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงให้ มองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้ายไปก่อน อย่างไรก็ตาม อย่าด่วนตัดสินใจ อย่าคิดว่าเรารู้แล้ว เพราะเราอาจจะไม่รู้อะไรเลย RIZknow

เตรียมตัวพบกับสิ่งที่ไม่รู้หรือยัง

โลกนี้กว้างใหญ่นัก และมันมีเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา ถึงต่อให้เราค้นคว้าหาความรู้ แต่มันก็มีเรื่องที่เราคิดว่าเรารู้ แต่จริงๆยังไม่รู้อีกมากมาย บางที เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่พอเรื่องที่ไม่รู้มาถึง เรากลายเป็นไม่รู้อะไรเลย ทุกครั้งเวลาผมคิดว่าผมรู้แล้ว ผมหวั่นใจ เพราะเหมือนผมเอาชนะทุกสิ่ง แต่จริงๆมันแค่คิดไปเอง เพราะความรู้ว่าไม่รู้นั้น มันทำให้เราระวัง และเปิดกว้างที่จะรู้ ที่จะฟัง และเอามาคิด ว่าจะยอมรับมันหรือไม่ และทำอย่างไร RIZunknown

ทำ ทบทวน แก้ไข ทำ

วงจรการทำงานง่ายๆ ของผม ใครจะลองไปใช้ก็ได้คือ ทำมันก่อน ถึงไม่รู้ว่าทำมันยังไง หาจุดเริ่มไม่ได้ ก็กระโดดเข้าไปเลย กระโดดลงไปแล้ว ทำได้ไม่ได้ มีความกดดัน หากเราไม่ยอมตาย เราก็ดิ้นรนเอง เมื่อทำไปแล้ว หรือเสร็จแล้ว เราก็เอาสิ่งที่ทำมาทบทวน เมื่อทบทวนแล้วเห็นจุดที่ต้องแก้ไข เราก็จำไว้หากเกิดเหตุอะไรซ้ำๆ ก็จะทำได้อีก มันเป็นหลักการง่ายๆ ตอนก่อนทำคิดน้อยๆ ทำแล้วคิดมากๆ บางทีคิดมากๆก่อนทำ มันไม่ได้ทำสักที แต่ทำแล้วก็ต้องรู้ให้แจ้ง ขบให้แตก...

ฟังเรื่องซ้ำๆ ก็เรียนรู้ได้อีก

ต้องฟังเรื่องราวซ้ำๆ ยังไงก็น่าเบื่อ เพราะเราอคติว่ามันไม่มีอะไรใหม่ๆ แต่จริงๆ เพราะเราเข้าไม่ถึง แตกฉาน และต่อยอดมันได้ หากเราอ่านหนังสือรอบแรก จะทำให้เราจากไม่รู้เป็นรู้ หากเราอ่านรอบสอง ทำให้เรารู้มากกว่าเดิม เพราะยังมีส่วนที่เราไม่รู้อีก หากเราอ่านรอบต่อๆไป ทำให้สิ่งที่เราคิดว่ารู้ อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นรู้ไปอีกอย่าง ทุกครั้งที่เราอ่านมันใหม่ ในช่วงเวลาต่างกัน ประสพการณ์ จะทำให้เรามองมันได้เปลี่ยนไป จากรู้เป็นไม่รู้ จากคิดว่ารู้เป็นรู้ว่าไม่ใช่ จากแน่นอนก็เปลี่ยนไปอีกอย่าง แก่นแท้ ไม่เหมือนกัน การตกผลึกนั้น...