เนื่องจากโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ทำให้เราค้นหาข้อมูลได้หลากหลาย
พร้อมกันนั้น มันก็ยัดเยียดข้อมูลของคนหลายหลายกลุ่มมาผ่านตาให้เราด้วย
ส่วนต่างของความรู้มันแคบลงเรื่อยๆ
แต่ส่วนต่างของการทำงานหาเงินรายได้มันห่างไปเรื่อยๆ
สมัยก่อนเราอาจจะไม่รู้เลย ว่าเศรษฐี กินอยู่หลับนอนอย่างไร ใช้เงินเยอะแค่ไหน
ใช้ชีวิตไลฟสไตล์ของผู้มีเงินมีทองใช้อย่างไรก็ไม่หมดนั้นเค้า เผาเงินเพื่อความสนุกเป็นอย่างไร
แต่สมัยนี้ หากเราติดตามเขาใน FB IG มันก็จะเห็น ไลฟ์สไตล์ ในการกินอยู่ใช้ของของเขา
แน่นอน ส่วนใหญ่ ใช้ของที่มีมูลค่าสูงมากๆ ถ้าเทียบสำหรับคนทั่วๆไป
กินไวน์ขวดหลักหมื่นหลักแสน กินอาหารหลักหมื่นหลักแสนต่อมื้อ
ใช้ของหลักแสนหลักล้าน ท่องเที่ยวเฟริสคลาส รูดบัตรเหมือนโยนเศษเงิน
แต่มันทำให้เราคนธรรมดา อยากจะใช้ชีวิตแบบนั้นสักครั้ง
ทำให้เราต้องเก็บเงินจัดสรรปันส่วนออกมาจากรายได้ แล้วเอามาใช้จ่ายเพื่อสักครั้งในชีวิต
มันก็ไม่ผิดอะไร แต่ถ้าเราใช้อะไรเกินตัวแบบนี้บ้าง จนบ่อยมันก็จะทำให้เราไม่เป็นผู้ที่มีอย่างยั่งยืน
แล้วเมื่อไรจะรวยเหมือนพวกนั้นละ
ลองคิดดูในขณะที่พวกนั้น ใช้เงินจากดอกเบี้ย
เราใช้เงินจากเงินต้น หรือแย่กว่านั้น เราใช้เงินจากอนาคตที่ทำให้เราเป็นหนี้
เพื่อทำในอย่างเดียวกัน
คนมีเงินเค้าอาจจะเฉยๆไม่ยี่หร่าอะไรกับเศษดอกเศษผล เพราะแค่นี้ยังเหลือเฟือ
แต่สำหรับคนต้องเอาต้นเอาเมล็ดเอารากไป ใช้นั้น เมื่อไรต้นไม้จะเติบใหญ่ มีใช้เหมือนพวกที่เราเห็นจริงๆ
โลกนี้ ทำให้เราใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล