เคล็ดลับเป็นเรื่องของการสังเกตุ

คนเก่งๆ เขาทำอะไรยากๆ แบบไม่ได้ยาก ผมว่าเขาผ่านจุดยากมาก่อนแล้ว แล้วเขาหาทางง่ายๆได้ และการที่เขาหาทางง่ายๆได้ ไม่ใช่เพียงแต่รู้ แต่เขาเอาความรู้มาใช้ได้หรือเปล่า มันก็ไม่ง่ายที่จะอ่านคู่มือทำตาม แล้วใช้ได้เป็นฉากๆ แต่มันเป็นความรู้ที่นำมาปรับใช้ให้เหมาะ ให้บรรลุเป้าหมายได้ แต่จะให้อธิบายทั้งกระบวนการ มันก็ไม่ต่างกันเท่าไร เบสิกต้องรู้เหมือนกัน แต่ทำได้ดีหรือไม่ก็อยู่ที่คนจะบิดนิดหน่อยแล้วออกมาดีแค่ไหน คนที่เก่งบิดหน่อยนึง ออกมาดี เพราะเขาสังเกตุ พอเล็งเห็นมันก็เลยเป็นเคล็ดลับ ที่ใครๆก็ถาม แม้เขาบอกให้ใครก็ยากจะตาม แล้วแต่คนต้องลองเอง เข้าใจปุ๊บลองหน่อย แม้จะยังทำไม่ได้...

คุยกับโจร ต้องภาษาโจร

บางทีเราคิดว่า พูดภาษาเดียวกัน แล้วจะรู้เรื่อง เช่นภาษาไทย คือในพื้นฐานก็คงไม่แตกต่างกัน แต่พอเอาลึกๆแล้ว ยังมีคำเดียวกันที่ให้ความหมายแตกต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่น ไม่ต้องแปลกใจครับ ว่าเหมือนจะรู้เรื่อง แต่ไม่รุ้เรื่องนั้นมีอยู่เยอะแยะไปหมด ถ้างั้นเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม อันนี้ เริ่มมาถูกทางแล้วครับ ทำตัวเหมือนไปก่อน แต่ถ้าให้ดี ต้องให้รู้เรื่องเหมือนด้วย ว่าในคำเดียวกันที่เราเข้าใจ เขาแทนความหมายอะไรอีก ถ้าเราเข้าถึงตรงนี้ได้ เราก็จะกลายเป็นคนท้องถิ่น หรือถ้าเข้ากลุ่มได้ อย่าถ้าไปคุยกับโจรกักขฬะ จะให้พูดคุณพูดครับ...

ไม่ต้องดีก็ได้ แต่ต้องขายได้ ถ้าจะเอาเงิน

บ่อยครั้งทีเดียว ที่มีคนเดินเอาโปรเจคมาขอความคิดเห็นของผม แล้วผมคงจะพูดไม่ถูกใจ เพราะถ้าเข้ามาหาให้ผมออกความคิดเห็น ก็ควรจะเปิดกว้างให้พูด ไม่ใช่ตั้งใจให้ผมมาอวยกัน แล้วพอทำไม่ได้ก็มาโกรธกันอีก เพราะ ตอนที่มาเล่า ก็พูดในสิ่งดีๆ แต่สุดท้ายบอกว่าอยากได้เงิน อยากรวย ถ้าหมายถึงแบบนี้ เรื่องดีๆ ไม่ต้องพูด เอาว่ามันขายหรือไม่ขาย และถ้าจะขายจะขายใคร ใครขาย ส่วนจะใช้เทคนิคยังไงค่อยลงรายละเอียดกันได้ เพราะทำธุรกิจ อยู่รอดคือต้องหาเงินมาจ่ายค่าใช้จ่าย ส่วนเหลือคือกำไร มันต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำคือแบ่งปันความดี ถ้าแบ่งได้แต่ไม่มีคนจ่าย...

เราชอบมองคนที่โชคดีมากกว่าคนทั่วไป

คนส่วนใหญ่ คนทั่วไป คนพื้นๆ คนจำพวกนี้มีจำนวนเยอะมากกว่า 70% และบางที อาจจะมีถึง99% หรือกว่านั้น คนพวกนี้มีแนวโน้มคิดไปทางเดียวกัน ไม่เกี่ยวว่าถูกหรือผิด มักโดนจูงตาม หรือโดนหลอกได้ง่าย โดนหลอกแบบที่ว่าไม่รู้ว่าโดนหลอกด้วยซ้ำไป จะด้วยการชวนเชื่อ หรือการตลาดก็ตามที เราเลยโดนจูงให้เห็นถึงความดี ความสุข ความสบาย แบบง่ายๆ และสั้นๆ ฉนั้นปกติที่เรามองไปรอบๆข้าง เราจะมองถึงสิ่งที่คนอื่นเขาดีกว่าเรา อย่างเร็วๆ และสั้นๆ และเปรียบเทียบกับตัวเอง...

เรามักคิดเข้าข้างตัวเองมากกว่าสถิติเสมอ

เวลาผมคิดเป็นตรรกะ และความหน้าจะเป็น ผมมักคิดเป็นอัตราส่วน คิดเป็นตัวเลข คิดเป็นการเปรียบเทียบ แต่หลายๆครั้ง คนเราก็ไม่ได้เอาตรรกะมาคิด แต่ชอบคิดตามความรู้สึก เป็นประจำที่ผมจะยกตัวอย่างของหวย ที่โอกาสถูกรางวัลนั้น มีอยู่ราวๆ 1%กว่า แต่ผมถามทุกคนที่ซื้อ ถึงเขารู้ว่า 1%กว่าๆนั้น โอกาสจะเสียมีตั้ง 98%กว่าๆก็ตามที แต่เขาก็คิดเข้าข้างตัวเอง ไปถึงระดับ 50:50 หรือมากกว่า 50% เสียอีก เพราะเหตุนั้น เขาจึงซื้อหวย...

ยิ่งรู้ ยิ่งรู้ว่าตัวเองโง่

ผมเองก็คิดว่า ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือเป็นประจำ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็พอสมควร และก็ผ่านอะไรในชีวิตก็ไม่น้อย ประสพการณ์ก็มีพอสมควร แต่ดูเหมือน ยิ่งรู้อะไรเยอะๆ และลึกๆเมื่อไร กลับมองเห็นตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ยิ่งรู้สิ่งที่รู้ของผมนั้น ดูเหมือนผมรู้ว่าผมไม่รู้อะไรมากขึ้น และที่ผมรู้มานั้น มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของความรู้ ผมเข้าใจว่า การจะรู้จริงเห็นแจ้งอะไรสักอย่างนั้น มันต้องเรียนมาทั้งชีวิต ไอ้เรียนแล้วพอทำได้ มันก็เห็นได้แต่การสอนทั่วๆไป เช่นสอนหนึ่งวัน สอนหนึ่งเดือน สอนเป็นปี สอนตามระบบการศึกษาสามัญ แต่การเรียนเช่นนั้นไม่ทำให้เรารู้อย่างแตกฉาน หลังจากที่เรารู้เบื้องต้นนั้น เราต้องไม่สำคัญว่าเรารู้แล้ว...

เมื่อทำงานเป็นกลุ่ม จงอย่าทำตัวเป็น super hero

การทำงานเป็นองค์กร หรือทำเป็นทีมนั้น ต้องแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ และทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนถึงจะช่วยเหลือคนอื่นที่อยู่ในทีมได้ และที่สำคัญคือต้องรู้ตัวเอง ว่าทำอะไรได้ทำอะไรไม่ได้ ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าสิ่งที่เราได้รับมอบหมายและเราทำได้นั้น อาจจะไม่ตรงกับจริตของทีม ก็ต้องปรับปรุงให้เหมาะสม และอย่าหงุดหงิดคนอื่นเพราะเราคิดว่าเราทำได้ดีกว่า เพราะเราไม่สามารถทำอะไร ทุกอย่างทั้งหมดพร้อมกันด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังปลูกความคิดผิดๆ ว่าสิ่งที่เราทำ แบกงานคนอื่นคือความเสียสละ เส้นบางๆระหว่างความคิด ผิดฝั่งมันก็น่ากลัวเหมือนกัน มีคนเก่งมากมาย แต่ก็ไม่สามารถสู้ทีมที่มีระบบได้ สองมือยังไงก็สู้สิบมือยี่สิบมือที่เข้าขากันไม่ได้หรอก RIZdontbesuperhero

ถ้าอยากใหญ่ อยากดัง ต้องเจียมตัว

ตามสันดานคนเราก็ชอบโอ้อวดนะครับ อวดสิ่งที่มี อวดสิ่งที่รู้ ถึงแม้ว่าเราไม่คิดอะไร แต่สิ่งที่เราทำมันเหมือน เกิดขึ้น และประทับอยู่ในประวัติศาสตร์ไปแล้ว เช่น เราโพสบ่นในโลกสังคมออนไลน์ ต่อให้บอกว่าเราเขียนไว้อ่านเอง แต่มันก็จะคงอยู่ในโลกของข้อมูล และอยู่ตลอดไป อย่าใช้อารมณ์ และความคิดไปเองว่า ไม่เป็นอะไร เพราะวันนึง เราใหญ่ เราดัง มันจะมีคนไม่ชอบเรา มาขุดเรื่องเก่าของเรา หาไปเพื่อสกัดเรา กลั่นแกล้งเรา ทำให้เราตกขอบ แต่ถ้าทุกการกระทำที่สื่อออกไป ได้มีการไตร่ตรองดี...

ไม่มีสิ่งไร้ค่า เพียงแต่มันขาดโอกาสพิสูจน์

พอเราเห็นอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ เราก็เริ่มมองในแง่ลบ และมองมันไร้ค่าขึ้นมาทันที แต่เดี๋ยวก่อนครับ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆหรอกครับ เราต้องคิดว่ามันต้องเป็นเพราะอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ที่แน่กว่านั้นสิ่งที่เราคิดตั้งหวังไว้ มันตรงกับสิ่งที่มันเป็นหรือเปล่า ถ้าเราไม่ใช้มันเพราะมันใช้ไม่ได้กับเรา มันอาจจะมีค่ากับคนอื่นก็เป็นได้ เหมือนรองเท้าที่เก่าแล้ว เราไม่อยากได้ไม่อยากให้มันรับใช้แล้ว ดีไม่ดี เราไม่อยากจะเห็นมันแล้ว เราก็ทิ้งมันไปเพราะมันหมดประโยชน์สำหรับเราแล้ว แต่สำหรับบางคนที่ขาดโอกาส เขาอาจจะเห็นมันมีค่าดั่งโชคดั่งทอง มุมมองสายตาที่เขามอง อาจจะไม่เหมือนกับเรา ก็อย่าไปประเมินแบบนั้น มันทำให้เรามองโลกในแง่ร้ายไป RIZuseless

อย่าติอย่างเดียว ชมด้วย

มันเป็นเรื่องยากครับ ที่จะรับอะไรด้านเดียว และถ้ามันสุดโต่ง ก็กลัวจะสติแตกคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อมีคนชม เราอาจจะตัวลอย แล้วคิดไปเองว่าเราดี เราเก่ง เกินจริงไปมากๆ เช่นเดียวกับเมื่อเจอคนว่า มันอาจจะทำให้เรารู้สึกแย่กว่าความเป็นจริง อาจจะแย่ไปกันใหญ่ อย่าทำร้ายคนให้เป็นสุดโต่งแบบนี้ แม้เราจะพูดความจริง มันก็มีพื้นฐานของมันอยู่ จิตวิทยาของคน คนชอบโดนชมเชยและไม่ชอบโดนว่า แต่ถ้าเราผสมมันไปในอัตราส่วนที่พอดี มันก็จะได้ให้คุณค่าทั้งสองด้าน ติเพื่อให้ก่อ เพื่อให้ปรับปรุงไปพร้อมกับการให้กำลังใจ หรือชมเชยในสิ่งที่ที่ทำ ให้ิเขามีกำลังใจที่จะทำต่อ พัฒนาให้ดีขึ้น RIZgoodfeeling