ถ้าคิดไม่ออก ก็ก๊อบไปก่อน และขายถูกกว่า

ประเทศจีนมีความโดดเด่นในเรื่อง ประชากร ที่มีความต้องการบริโภคมหาศาล และก็เป็นประเทศที่ต่างชาติยังเข้าไม่ถึงทุกหย่อมหญ้า จึงทำให้มีโอกาสนำเสนอ ของทั่วๆไปที่คนใช้ๆอยู่กันทั่ว เวลาเราไปจีน ในพื้นที่ที่ไม่ใช่ส่วนหลักๆของประเทศ จะทำให้เราไม่เจอสินค้าของต่างชาติเลย แต่จะเห็นสินค้าที่เหมือนต่างชาติเต็มไปหมด มีแบบ มองแล้วรู้เลยว่าเป็นยี่ห้ออะไร แถมหน้าตาสินค้านั้นก็คล้ายกันมาก ฉนั้นคนจีนเค้าไม่คิดมากหรอก ก๊อบไปขายก่อน ถ้าต้องมากังวลเรื่องต่างๆ หรือจะลอกไม่ให้เหมือน มันยังไม่ใช่เวลา ถ้ามันใช่มันได้ ก๊อบไปเลยจบกว่า เร็วกว่า ค้าขายก่อน มีปัญหาค่อยแก้ได้ แต่ถ้าคิดมาก มันยังไม่ได้เริ่ม...

เรื่องที่คนบ่น มันคือโอกาส

ทุกวันฟังแต่คนบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ บ่นมันทุกวัน บ่นมันทุกอย่าง ถ้าบ่นคนเดียว อาจจะเป็นนิสัยเสีย แต่ถ้าใครๆก็บ่นมันเรื่องเดียวทิศทางเดียว แสดงว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ บ่นว่า รถติด  ถ้าเราหาวิธี อุปกรณ์ บริการ หรือ solution แก้ได้ รวยแน่นอน เพราะคนส่วนใหญ่ บ่นมันอย่างเดียว ไม่ได้เน้นว่าต้องทำอย่างไรแก้ไขอย่างไร หรือถ้าแก้ไข มันก็ต้องแก้ที่คนอื่น เราทำแบบเดิม เอาสบายแบบเดิม แบบนี้มันแก้ไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นบริการ...

สินค้าที่มีความต้องการมาก ย่อมมีหลายเกรด

สินค้าที่มีความต้องการในชีวิตประจำวันนั้น มันจำเป็นต้องกินต้องใช้ และแน่นอน ก็ย่อมมีผู้ผลิตจำนวนมากเพื่อนำเสนอสินค้านั้นๆ และ เพราะเนื่องจากมีความต้องการมากสำหรับทุกชนชั้น ก็ย่อมมีระดับราคาและคุณภาพแตกต่างกัน บางอย่างแตกต่างกันที่ตราสินค้า มีการตลาดดีๆ ทำให้เป็นที่ยอมรับกันในสังคม ก็ย่อมมีราคาแพงหน่อย บางอย่าง ทำให้มันใช้ได้ แต่อาจจะไม่ได้ใช้ทน เอาถูกเข้าว่า ตราสินค้าไม่ต้อง ก็ถูกมา แต่ละอย่างมันก็เหมาะสำหรับความต้องการ แม้ทุกคนอยากได้ของดีราคาถูกยี่ห้อดัง มันย่อมหาได้ยาก เพราะของดี ควรมีราคาแพง ของถูก คุณภาพควรต่ำ ถ้า...

ขนาดของตลาด เป็นตัวชี้วัดราคาได้

ขายของเยอะ ย่อมต้องผลิตได้เยอะ พอผลิตได้เยอะ ขนาดโรงงานก็ใหญ่ เครื่องจักรมีคุณภาพ แต่สุดท้ายสินค้า ที่เป็น mass ออกมาไม่ได้แพง ยังไงของ mass มันก็ควรถูกกว่าของ niche จริงๆแล้ว ถ้าทำอะไรเล็กๆ ก็ควรทำอะไรทืี่เป็น niche แต่การจะเป็น niche มันก็ต้องมีองค์ประกอบมากมาย และแตกต่างจาก mass ที่สำคัญคือ ราคา เพราะขายน้อย...

เราใช้ตามองเท่านั้นหรือ

บางคนบอกว่า ของบางอย่าง อย่ามองด้วยตา มันต้องใช้ใจ ผมว่า มันก็ค่อนข้างปัจเจกไป ปกติคนเรามักตัดสินใจจากการที่ได้มองเห็นก่อน เพราะมันรวดเร็ว และง่าย และในเสี้ยววินาทีก็ใช้ประสพการณ์รอบตัวมาตัดสิน เช่นเห็นขอทาน ต้องเป็นคนสกปรก ที่มาขอเงินอยู่ตามทางเท้า จึงเกิดความน่าสงสาร เช่นคิดว่าคนขายของตามสี่แยก แต่งตัวปอนๆ นอกจากอันตรายแล้ว ยังคิดว่าน่าจะจน ก็อาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่เดี๋ยวนี้ผมว่ามันจะไม่ใช่เป็นส่วนใหญ่ เพราะการตัดสินด้วยสายตานั้นมันหยาบเกินไป เราไม่ได้นั่งคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด เอาแต่ความรู้สึกเข้าว่าเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินคนนั้นไป เป็นจำพวก...

คุยกับคนพาล ก็เหมือนไม่ได้คุย

การที่เราทำดี ต้องเข้าใจก่อนว่า ทำดีแล้วได้ดี อาจจะไม่ใช่ดีอย่างที่เราอยากได้ หรือได้ในเวลาที่เราต้องการ การทำดีกับใครคนหนึ่ง เราก็ต้องมองด้วยว่าเขาเปิดรับ และต้องการเราไหม เมื่อเราเห็นคนมีปัญหา เราก็มีใจอยากช่วยเหลือนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนที่จะช่วยก็ควรคิดให้ถี่ถ้วนก่อน เมื่อเราเจอคนพาล เราจะอธิบายเหตุผลอย่างไร เขาก็ไม่สน เพราะเมื่ออารมณ์เกิดขึ้น มันเป็นมิจฉาทิฐิ บังตาอยู่แล้ว ดีแค่ไหนก็ไม่เห็น กว่าจะเห็นอารมณ์วู่วามต้องผ่านไปก่อน สิ่งที่เจอเป็นเรื่องชั่ววูบนั้น เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้แบบไม่ได้ตั้งใจเตรียมตัวเตรียมใจไว้ จะทำดี ผิดคนผิดเวลา เดี๋ยวดีๆจะกลายเป็นร้าย พูดให้คนที่ไม่พร้อมฟัง...

มีของดี ก็ต้องเลือกกลุ่มเป้าหมาย อย่าเหมา

ได้ออกไปนั่งคุยกับคนบ้าง ถึงยังหาไอเดียของเราไม่ได้ แต่เราก็ฟังไอเดียเขา และก็ได้แนวความคิดของคนอื่น บางอย่างมันก็เจ๋งนะ แต่ดูดี ที่ขาดๆเกินๆ บางที ที่เราเห็นขัดแย้ง ก็คงเพราะ ประสพการณ์ที่ผ่านมาของเรา มันทำให้เราเห็นมุมมองอีกแบบหนึ่ง แต่คนอื่นก็จะมีมุมมอง และความเชื่อที่แปลกแตกต่างกันไป บางอย่างเราก็เอามาคิดต่อทำนายในใจ ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ไอเดียย่อมเป็นไอเดีย ถ้าจะทำให้เป็นจริง มันต้องทำ ความเป็นไปได้ของไอเดีย มันจะยุ่งยากหน่อย แต่มันก็ให้รายละเอียดได้ดี มันจะทำให้เรารู้หรือขาดอะไร มันจะทำให้รู้ว่าตรงไหนเราไม่อยากแตะ เพราะเราไม่เชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งที่เราขาดและต้องหาอะไรมาอุดรอยรั่ว...

ต่อให้เศรษฐกิจแย่ แต่ถ้าโดน ยังไงก็ซื้อ

เวลาเรามองภาพรวมๆ กว้างๆนั้น มันจะได้ภาพสะท้อนว่า เศรษฐกิจมันแย่ ทำอะไรก็ไม่ดี แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะไม่ดี เศรษฐกิจไม่ดี ไม่ใช่แปลว่าทุกคนไม่มีเงิน หรือไม่มีอำนาจการใช้เงิน เพราะ บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ สามารถใช้โดยไม่คิดอะไร หรือถ้าอะไรใหญ่ๆ แต่ถ้ามันทำให้เรา หรือคนซื้อรู้สึกถูกโดยสามัญสำนึกเมื่อไร คนซื้อก็จะซื้อเลยโดยไม่คิด หรือคิดไม่ทัน และตอนที่คิดได้ก็..อ้าว ทำอะไรไปแล้วเหรอ สินค้าพวกนี้ ต้องเป็นสินค้าที่แต่ก่อน มีมาตราฐานราคาสูงมาก่อน แล้ววันดีคืนดี ลดราคาลงมาถล่มทลาย ไม่เกี่ยวว่ามันถูกหรือแพง...

ใช้เทคโนโลยีมันไม่ผิด มันผิดที่ใช้มากไป

อะไรมากไปมันก็ไม่ดี จะดีมากไป สบายมากไปมันไม่ดี มันไม่ดีที่ไปติดมัน เสพติดมัน เสพติดความสบาย พอเราติดอะไรสักอย่าง เราจะแสดงว่ามันสำคัญแม้ว่าจะคิดว่าไม่มีมันก็ได้ เช่น มือถือ ในปัจุบัน มีความสำคัญ เราใช้มันติดต่อเพื่อนฝูง ครอบครัว และเรื่องงาน พอพูดเช่นนี้มันก็มีความสำคัญอย่างมากมาย ประโยชน์มหาศาล มันทำให้คนหลายคนร่ำรวย เป็นเศรษฐี กับมันก็ได้ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ทำให้ทุกๆคนร่ำรวยเช่นนั้น เพราะเราทำอะไรมากเกินไป ติดมันมากเกินไป ใช้เลยจุดที่เป็นประโยชน์...

you will not get it because you want it

ผมเห็นเด็กๆที่เอาแต่ใจ คงไม่ใช่แค่เด็กๆที่เอาแต่ใจ มันคงเป็นสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมที่ทำให้เด็กพวกนี้เป็นแบบนี้ คงเป็นผู้ปกครองที่ จะทำทุกอย่างให้เด็กรู้สึกว่า จะได้เพียงเพราะเค้าร้องขอ คงเป็นผู้ปกครองไม่อยากเห็นความลำบากในตัวลูกๆเขา เหมือนตอนที่เขาลำบาก แต่พ่อแม่ไม่ได้หยิบยื่นโอกาสเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสนอหนทางที่โลกแห่งความจริงให้ไม่ได้ เด็กๆ เราร้องไห้ แล้วบอกพ่อแม่ว่าอยากได้ พ่อแม่ก็จะหามาให้ แต่ถ้าเราโตแล้ว ทำงานแล้ว เราร้องไห้ในห้องประชุม คนคงคิดว่าเราเป็นบ้า การปรับตัวว่าให้เรารู้ว่า โลกนี้ไม่ได้อยู่ง่ายๆ เหมือนที่พ่อแม่ปฏิบัติให้เรา วันนึงเราจะรู้ ว่าเวลา อยากได้เงิน ไม่ใช่แค่เดินไปบอกพ่อแม่แล้วแบมือ...