สิ่งสังเกตถ้าเราทำอะไรใหม่ๆ

ถ้าเราจะทำ ที่ไม่เคยมีมาก่อน จะระดับชุมชน ระดับเมือง ระดับประเทศ หรือระดับสากล คนส่วนใหญ่ก็ย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว เพราะเขาไม่รู้ เขารู้อดีต เขารู้ปัจุบัน แต่ไม่รู้ไม่เห็นอนาคต การที่คนเขาดูถูกเรา เป็นเพราะเขาเป็นห่วงและหวังดี ที่อยากให้เราได้ดี ในแบบที่เขารู้ เช่น อย่าไปทำเลย ไม่มีใครเขาทำหรอก มันลำบาก ไปรับราชการดีกว่า มันก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันขัดแย้งกับความรู้สึกเราแน่ๆ เพราะสิ่งที่เราจะทำ ถ้ามีคนเข้าใจ และเห็นด้วย...

เวลาจะบอกเองว่าใช่หรือไม่

การทำธุรกิจ เราต้องมองไปถึงอนาคต เหมือนเราทายใจคนส่วนใหญ่ว่าจะเป็นแบบไหน เราจะได้ประมาณการณ์ได้ถูก ซึ่งตรงนี้แหละครับน่าสนใจ เพราะ บางอย่างเรารู้ เราก็ต้องเตรียมการไว้ก่อน แต่การเตรียมการมันต้องใช้เวลา แล้วเราก็ต้องกะให้มันตรงจังหวะนั้น ยากครับ ยากสุดๆ เพราะถ้ามาก่อน ที่เราลงทุนไป คนก็ยังไม่พร้อม ไม่ยอมรับ ทำไปก็เจ๊ง พอเลิกทำ จังหวะมา แล้วคนอื่นทำ มันก็ได้ก็ไม่ต้องแปลกใจ แล้วมาหลัง มันก็จะช้าไป จะบอกว่าเราคิดก่อนก็ไม่ได้ เพราะสังคมก็ไม่รับรู้ว่ามาก่อนมาหลัง...

อยู่กับคนเก่ง อย่าไปกลัว เรียนรู้ได้

เราอยากจะเก่ง เรามีไอดอล แต่จะให้เราพยายามแบบไม่มีอะไรเลยสักอย่างมันจะเหนื่อยไป เราต้องไปหาคนเก่งๆ สังเกตเขา ขอความรู้จากเขา ไม่ต้องกลัวเขาจะไม่บอก คนเก่งส่วนใหญ่บอก ส่วนพวกไม่บอก ถ้าใจไม่แคบก็เก่งไม่จริงๆ เรียนรู้จากพวกนี้ เราว่ามันไปได้เร็วกว่า มันไม่ได้มาจากหนังสือ แก้กันหน้างานให็เห็นๆเลย ว่าพวกเขาคิดอย่างไร เจอจากปัญหาตรงๆ มันเร็วกว่าครับ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องแอบไปงมเข็ม เอาแบบนี้แหละ ง่ายดี RIZwhenwemet

ใบวุฒิการศึกษา

การเรียนของคนเรามันไม่มีวันจบหรอกครับ เพราะของใหม่ มันก็มีมาเรื่อยๆ ของเก่าก็ตกยุคกันไป และของที่ตอนนี้ยังไม่มี ในอนาคตเดี๋ยวมันก็มี แต่การศึกษานั้นมันได้กับตัวเองเป็นหลัก ไม่ว่าจะศึกษาอะไรก็ตาม แต่หากคนอื่นอยากรู้ เราก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่แสดงออกว่าเรารู้ เพราะ คนอยากรู้ ไม่ได้รู้จักเรา ถ้างั้นเลยมีความจำเป็นที่เราต้องมี สิ่งที่แสดงออกว่าเรามีความรู้ เช่น ปริญญา ตรี โท เอก ก็ว่าไป ใบวุฒิบัตรการอบรมต่างๆ หรือเรียนวิชาต่างๆ อย่างน้อยสิ่งพวกนี้ ทำให้คนอื่นมองเราว่า...

คำตอบมันไม่ได้มาทุกวัน

คำตอบที่เราเจอถามนั้น จะจากงานหรือเรื่องส่วนตัว ในชีวิตนั้นมันไม่ได้มาทุกวัน จะเร่งให้เจอหรือเร่งให้มันมาไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันก็มาเอง และบางทีไม่ต้องทำอะไรเลย บางครั้งปัญหาก็คลี่คลายไปเอง จะด้วยจากปัจจัยบาง อย่างเปลี่ยนไป จะจากภายนอกหรือภายใน จริงๆมันมาทีละนิดแหละ แต่เราไม่รู้ว่ามันมา เพราะเราคาดหวังมากกว่านั้น แต่พอมันได้ที่ถึงเวลา สะสมจนตกผลึก แล้วมันก็โผล่ขึ้นมาเอง ปิ๊งเลย การหาคำตอบไม่มีสูตรตายตัวเหมือน คณิตศาสตร์ มันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ และที่สำคัญมันต้องใช้เวลา RIZanswer

คุณสมบัติของ “ความเงียบ”

ในขณะที่คนเราแย่งกันพูด เหมือนใครพูดมากที่สุดชนะ เหมือนพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้ในสิ่งที่เขาคิด หรืออยากให้คิด แต่เห็นบ่อย มันคือการยัดเยียดพูดในสิ่งที่บางที คนฟังก็ไม่ได้อยากรู้ หรือพยายามคิดว่า เขาควรต้องรู้ในสิ่งที่เราพูด แต่สิ่งที่ดีที่สุด ก่อนทืี่จะพูดมากไป เราต้องฝึกเงียบก่อน เพราะตอนที่พูด มันจะใช้สมองคิดได้น้อยกว่า เวลาเงียบ เมื่อเงียบแล้วคิด พูดเฉพาะที่จำเป็นต้องพูด เข้าประเด็น อธิบาย ยกตัวอย่าง ถามความเข้าใจ มันพอแล้ว ไม่ใช่พูดไปเรื่อยๆจนกว่าหมดเวลา หรือไม่ได้ให้คนอื่นพูด RIZsilent

มีทางเลือกมากไป ทนไม่ได้ ไม่อดทน

ชีวิตย่อมต้องหาทางออกเสมอ ทั้งๆที่ทางออกมันอยู่ที่ปลายทาง ก็ยังพยายามหาทางอื่นจนได้ เพราะคนเราชอบมีทางเลือก แต่พอมีทางเลือก กลับเลือกไม่ได้ ปากบอกอยากได้ทางเลือก แต่พอให้เลือกก็ไม่เลือก ก็จมอยู่กับทางเดิม พอโดนบังคับเลือกไม่ชอบอีก จริงๆ ถ้าชีวิตคนเราไม่มีทางเลือกมาก หรือไม่มีทางเลือก เราก็คงต้องอดทน พยายามไปให้ถึงปลายทาง แต่พอมีเลือกมาก พอไปต่อไม่ได้เราก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้สิ่งที่ทำ ที่คิดว่าจริงจังก็ไม่จริงจัง แล้วจะทำจบไหม ถ้ามีให้เลือกก็อย่าเลือกให้มาก หรือไม่ต้องเลือก ลุยที่มีไป มันจะได้บรรลุ...

เบื้องหน้า เบื้องหลัง

คนเห็นแต่เบื้อหน้า เห็นแต่ฉากหน้าด้านเดียว มันเป็นด้านที่ได้ผ่านการปรุงแต่งจัดรายละเอียดมาอย่างเรียบร้อย เช่น เสร็จแล้ว ประสพความสำเร็จแล้ว แล้วคนเราก็ไปชื่นชมฉากหน้าของเขา ถ้าได้ฟังเรื่องราวก่อนที่จะได้เห็นอย่างที่เป็นอยู่ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องเข้มแข็งแค่ไหน หรือที่จะผลักดันงานสักงาน คนสักคนให้ดูดี ดูเก่ง และสำเร็จมานั้น ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง มันไม่ได้มาคนเดียวอย่างที่เรารับรู้กันหรอกครับ มาเป็นกอง เราอาจจะเห็นละครสักเรื่อง กับนักแสดงไม่กี่คน แต่เบื้องหลังประกอบคนเป็นสิบเป็นร้อย ผู้กำกับ คนเขียนบท แคสติ้ง คอร์สตูม...

ใช่ คือแค่เอาสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป

จะทำในสิ่งใช่นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรนั้น ก็ต้องลองดูก่อน ค่อยๆลองไปเมื่อลองแล้ว เราจะรู้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ และถ้าไม่ใช่ก็ตัดมันไปเรื่อยๆ คนเรานั้นชอบและพยายามจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องพยายามทิ้ง และเลือกไม่ทำบางสิ่งบางอย่างที่มันไม่ใช่ และนี่คือเคล็ดลับของความสำเร็จ RIZyes

ผ่านความล้มเหลวแล้วสำเร็จนั้น มันยิ่งใหญ่

จะเริ่มต้นอะไรสักอย่าง มันเป็นปกติของชีวิตที่ต้องมีอุปสรรค และเป็นเรื่องธรรมดาที่จะล้มเหลว แต่พอคนคิดว่ามันล้มเหลว แล้วเขาก็จะล้มเลิก จะอ้างต่างๆนานา ว่าทำไม่ได้ หรือมีปัญหาอื่นๆ บ่นไปเรื่อย ซึ่งมันไม่ใช่ครับ ความล้มเหลว ไม่ใช่จุดจบ แต่มันก็แค่ปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ ต้องแก้ที่ปัญหา และแก้ที่ทัศนคติการคิดด้วย เพราะถ้าไม่ใช่จุดจบ มันก็เดินต่อได้ และถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ทำไป เจอปัญหาก็แก้ไป แก้จนกว่าจะถึงเส้นชัย เมื่อผ่านจากความล้มเหลวไปถึงความสำเร็จนั้น มันจะทำให้เรารับรู้ถึงชัยชนะ ที่มีด้วยความพยายาม ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆที่ทำได้...