เพื่อนที่ดี

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ เพื่อจุดหมายบางอย่าง ในอดีตยุคโบราณ การอยู่เป็นกลุ่มคณะ จะทำให้รู้สึกปลอดภัย หากมีเหตุอะไร ก็เชื่อเหลือป้องกันกันได้ จริงๆ เป็นเรื่องที่ได้ผลประโยชน์แก่ตน แต่เมื่อความเจริญเข้ามาเรื่อยๆ ความคาดหวัง เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น ความต้องการ ไม่เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยสำหรับตัวเองอีกต่อไป เริ่มม่ีความต้องการที่หลากหลาย และมันก็กลายเป็นความคาดหวัง พอชีวิตเริ่มไม่มีปัญหาพื้นฐาน ก็เริ่มหาปัญหาเข้าตัวเอง เช่น เริ่มมีความต้องการ ความรู้สึกทางจิตใจ เราเริ่มแบ่งยาก ที่มีรายละเอียด และอาจจะไม่สำคัญในการดำรงชีวิตมากขึ้น...

เรื่องตัวเองนะ จัดการยากที่สุด

พออะไรไม่ใช่ของเรา เราก็มองแบบความจริง เห็นอย่างที่มันเป็น มองขาด ว่าต้องทำอะไร แก้อะไร ถ้าเขาตาม ก็มีทางว่าน่าจะเป็นไปได้สูง แต่พอเป็นเรื่องของเรา ถึงจะเรามองแบบความจริง แต่ใจเราก็ยังมีข้ออ้าง ข้อแก้ไข ข้อแก้ตัวเสมอ เพราะ พอเป็นเรา ทำอะไร ที่คนอื่นบอกง่ายๆ มันไม่ง่ายเลย ไม่ใช่ทำยาก แต่เพราะความรู้สึกของเรามันยากเอง ต้องต่อสู้ภายในจิตใจ ต้องต่อสู้กับความไม่กล้าของตัวเอง ถ้าสู้ตัวเองแล้วชนะใจตัวเองได้ อะไรก็ง่ายไปหมด RIZwin

ปัญหาที่คนไม่รู้รอบ คือเพราะเราเลือกฟังมากกว่า รับฟังทั้งหมด

ใครๆ ก็อยากฟังเรื่องดีๆ เพราะฟังแล้วสบายใจ มันก็เลย มีที่ตกหล่นไป และนั่นแหละเรื่องสำคัญ การที่จะฟังแต่ชมอย่างเดียว แล้วไม่ฟังตินั้น มันไม่ก่อเกิดประโยชน์ มันทำให้แค่ชุ่มชื่นหัวใจ จนทำให้ตกอยู่ในภวังค์ ยิ่งฟังมากๆ ความหวานมันจะบาด ทำให้หลงตัวเอง หลงลืมว่าก่อนที่ตัวเองจะทำได้ มันต้องพยายามอยู่แค่ไหน และเมื่อการโดนติ มันดูโหดร้าย แต่มันก็จะได้ประโยชน์ การรู้สองด้าน สองหน้า มันทำให้เรามาพิจารณา ปรับปรุง เพราะ ฟังแต่ติ...

การที่เราลดตัว มันไม่ได้ทำให้เราตัวเล็ก แต่มันจะทำให้เราตัวเบา

หน้าตาเราที่สวยงาม มันสวยเพราะเราแต่งเติม แล้วคนอื่นชมหรือเปล่า แล้วถ้าเราไม่แต่งหน้า เขาจะชมเราหรือไม่ เขาชมแต่หน้าตาเราอย่างเดียว หรือเปล่า หรือเค้าชมเรา บางทีเปลือกมันก็ไม่ได้มีความสำคัญ มันเป็นแค่สิ่งที่ห่อหุ้มแก่นแท้ การที่คนอื่นชมเปลือกเรานั้น มันทำให้เราต้องยึดติดและแบกเปลือกนั้น ติดตัวเรา ถึงแม้ว่าเราอยากจะนำเสนอแก่นข้างใน แต่ในเมื่อเรายังแบกเปลือกให้คนอื่นชื่นชม มันก็ไม่มีคนเห็นอยู่ดี ถ้าเราไม่ยอมกระเทาะเปลือก ให้มันหลุด แล้วให้คนอื่นเห็นแก่นแท้ข้างใน มันก็ยังมีการชื่นชมแบบเปลือกๆอยู่ร่ำไป หากเมื่อเราเอาเปลือกออกแล้ว ถึงแม้คนอื่นไม่ชื่นชม (แต่ผมว่าคนน่าจะชื่นชม) มันก็ทำให้เราตัวเบาขึ้น ไม่ต้องแบกภาระไปไหนต่อไหนในสิ่งที่ไม่จำเป็น...

เราต้องกล้า ที่ยอมให้คนอื่นเห็นถึงความไม่พร้อมของเรา

เมื่อเรารอความพร้อม เราอาจจะช้าไปแล้ว แต่มันไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมได้ เมื่อเวลาที่ต้องการ หรือสถานการณ์มาถึง แต่ถ้าเราไม่พร้อมละ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมทำ เพราะเขาคงคิดว่า ถ้าเขาทำ ก็อยากจะให้ออกมาเป็น perfectionist และ เพราะความ perfectionist มันเป็นเรื่องอะไรที่ยากเกินไป แต่ถ้าคุณกล้า กล้าที่จะยอมรับความจริง และเราย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่เข้ามา ให้มันผ่านไป เราก็ต้องกล้าทำ ในสิ่งที่เราไม่พร้อม มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอาย แต่มันเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากกว่า อาจจะมีเสียงคนที่ไม่เข้าใจ แต่เพราะเค้าไม่ได้เข้าก็อย่าไปใส่ใจ...

จะแข่งขายของ อย่าแข่งกับคู่แข่ง ให้สนใจลูกค้า

บางครั้ง นักขายนักการตลาด ก็คิดถึงเรื่องแข่งขันกันมากไปกว่า ลูกค้า จนลืมว่าตัวเองคิดควรทำอะไร การสนใจเรื่องการแข่งขันมากเกินไป เมื่ออีกฝ่าย สิ่งนี้ เราก็ต้องมีสิ่งนี้ด้วย เมื่อคู่แข่งลดราคา เราก็ต้องลดราคาด้วย พอแข่งไปแข่งมา เราก็ลืมตั้งแต่ต้นว่าเราตั้งใจว่าจะทำอะไรขายอะไร ลืมตัวตนของเรา ลืมไปแล้ว ว่าคนรู้จักเราเพราะอะไร มันไม่ผิดที่จะปรับปรุงตัว และก็ไม่ผิดที่ต้องมีอะไรที่เป็น me too เพราะมันต้องตามเทรน แต่การที่มุ่งจะทุ่มเทแข่งขัน จนไม่สนใจลูกค้า ว่าแต่จับจ้องเขาจะทำอะไร สุดท้าย...

ต้องให้ทำสิ่งที่ทันสมัยแค่ไหน แต่ไม่พิถีพิถัน ก็ดับ

เราพูดถึงเทรนว่า อะไรกำลังมา และเราก็ใช้เทรนนั้นเพื่อทำบางสิ่งบางอย่าง ให้ทันสมัยพอกับสิ่งที่ตอบโจทย์คนในปจุบัน เราเริ่ม ทำอะไรเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น เราเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น สมัยก่อน ทำงานสัก 8/5 มันก็น่าจะเพียงพอ แต่สมัยนี้ 24/7 ก็ไม่รู้ว่าจะสู้ได้หรือเปล่า งานต้องดีจริง เร็วจริง และต้องเนี๊ยบ ถึงจะได้เป็็นตัวจริง ไม่ใช่เพราะเวลาน้อย เลยทำงานหยาบ ใครได้ใช้งานเรา...

อย่าคิดจับปลาทุกตัวในมหาสมุทร

ประโยคว่า อย่าคิดจับปลาทุกตัวในมหาสมุทร แม้ว่า มหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไพศาลเท่าไร ก็มีปลาเป็นพันเป็นหมื่นชนิด มันจะใช้วิธีเดียวกันจับปลาทุกชนิดก็ไม่ได้ เราต้องเข้าใจนิสัยของปลาแต่ละชนิด แล้วถึงเลือกวิธีจะล่อมัน จับมันถึงจะได้ การจะขายอะไร แล้วเป้าหมายในการขายคือ ขายได้ทุกคน อันนี้ลำบาก เพราะเหมือนกับอุปมาข้างต้น เพราะความไม่ชัดเจน หรืออยากเหมารวม มันไม่มีวิธีอะไรวิธีเดียวที่จะทำได้ทุกอย่าง มันเหมือน สูตรอมตะ หรือว่าหา จอกศักดิ์สิทธิ์ อย่าพยายามคิดว่ามันมีจริง ถึงแม้ว่าอาจจะมีจริงก็ตาม เพราะมันจะทำให้เราไปผิดทาง จะทำอะไร...

เราต้องขาย moment มากกว่า ขายสินค้า

เพราะการขายสินค้าแบบยัดเยียด มันทำให้เราเอียน ถึงแม้ว่าจะลด แลก แจก แถม ถึงใจอย่างไร พอซื้อๆไป มันก็ถึงจุดพอ เพราะมีเกินพอแล้ว หรือว่าจริงๆแล้ว มันไม่สามารถตอบโจทย์เราได้ตามความรู้สึก และ สินค้าเทียบเคียง ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ทั้งคุณภาพ และราคา ดีไม่ดี ของถูกกว่า อาจจะดีกว่า ก็มีโอกาส แต่ทำไมของบางอย่าง ขายได้ และขายได้ดี เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเค้าขายเรา...

มาตราฐาน มีไว้สำหรับคนทืี่ ไม่ยอมกัน

เวลาเราคบค้าสมาคมกับใครก็ตาม ในบางครั้ง เราก็มีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน และถ้ามีส่วนได้ส่วนเสียในนั้น ก็มักจะไม่ยอมกัน เพราะในมุมมองของแต่ละคน มันเป็นสิ่งที่เราต้องได้ และเค้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน มันเลยไม่ยอมกัน เลยต้องมีคนกลางมาไกล่เกลี่ย หรือมีมาตราฐานที่สังคมยอมรับให้มีขัดเส้นกั้น หรือมาสอบเทียบ อันต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป แต่จริงๆแล้ว ถ้าที่คบค้าสมาคมด้วย เป็นคนที่ไม่คิดมาก เป็นคนที่ยอมเสียมากกว่าได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรมันก็อะไรก็ได้ เมื่อทั้งสองยอมถอยทั้งคู่ ปัญหาต่างๆ มันก็รอมชอมกันง่าย เมื่อทั้งสองเป็็นผู้อยากให้ มากกว่าผู้รัก เรื่องราวต่างๆปัญหาที่เกิดขึ้น็จะไม่เกิด ทะเลาะไม่มี...