ทำผิดนะ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าถูกสักที จะเป็นตำนาน

การทำอะไรสักอย่าง ยิ่งไม่มีความรู้ และประสพการณ์นะ ความผิดพลาดย่อมมีโอกาสเกิดมากเป็นธรรมดา แต่ การทำอะไร มันไม่เสียเปล่า เพราะถึงผิด มันก็ได้อะไร ไม่ใช่สักแต่ผิดอย่างเดียว การเรียนรู้ ถือว่าเป็นความจำเป็น เพื่อจะสั่งสมประสพการณ์ เพราะยิ่งเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะผิดพลาดมันก็น้อยลง (แต่อย่างลืม มันแลกกับควาผิดพลาดมากๆเสียก่อน) พอเรียนรู้จุดนึง มันจะถูกของมันเองโดยอัตโนมัติ และเมื่อถูก คุณได้เริ่มความเป็นตำนานแล้ว หลังจากนั้นสิ่งที่่คุณไม่ได้ คุณจะได้ คนที่มองข้ามคุณในอดีต เค้าก็จะมองข้ามอดีตของคุณมาปัจุบันที่คุณประสพความสำเร็จ...

สูตรสำเร็จ เคล็ดวิชาที่สอนกันได้ แต่ลอกกันไม่ได้

จริงๆ สูตรสำเร็จ นั้น สำหรับ บางคนเรียกมันว่า สูตรครอบจักรวาล หรือสูตรอมตะก็ตามที คนที่คิดสูตรนั้น ย่อมมาจากประสพการณ์ที่ผ่านมา ทั้งทำผิดแล้วผิดอีก และทำถูกจนตกผลึก ที่สะท้อนความคิดความอ่านของเขา ที่อยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จนสามารถมองสิ่งต่างๆได้ทะลุปรุโปร่ง ในมุมมองของเขา เห็นเป็นภาพตั้งแต่เริ่มจนจบ ทางเข้า ทางออก เห็นถึงปัญหาและทางแก้ไข ซึ่งพวกนี้ถ้านำมาเล่นสู่กันฟังก็คล้ายจะเป็นนิยายชีวิตเรื่องยาว   สูตรต่างๆที่เจ้าตัวยินดีเผยแผ่นั้น หากไม่ได้คิดปิดบัง บอกจนหมดเปลือกนั้น ก็ไม่ใช่จะเอามาใช้ได้เลย...

ถ้าจะเริ่มทำธุรกิจตอนนี้ สิ่งที่คุณต้องมีคือ

ถ้าคุณจะเริ่มทำธุรกิจอะไรสักอย่าง มันไม่ใช่ถามว่า ทำอะไรดี เพราะ สิ่งดีของคนอื่น ที่เป็นคนรู้จักคุณ เพื่อนคุณ พ่อแม่คุณ หรือใครก็ตาม มันอาจจะไม่ใช่ของคุณก็เป็นได้ อย่าเห็นว่า กระแสอะไรมาแรงแล้ว เราก็รอว่าแรงต่อไปหรือเปล่า เพราะถ้าเราเริ่มทำหลังจากนั้น มันจะเลยจุดที่เป็นที่สุดไป ถ้าลงไป อาจจะจุก สั่งของมาขายอาจจะติดคอ เงินจม แต่เราต้องรู้สึกได้ ว่าทำอะไร ต้องเป็นสิ่งที่เราชอบ หรือสนใจ ถ้าเราไม่สนใจแล้วมันดี เราก็ไม่อิน...

เมื่อเลิกเห็นแก่ตัว เราจะเห็นสิ่งรอบข้าง

เวลาคิดอะไรเอาแต่ได้เอาแต่เข้าข้างตัวเอง คุณจะไม่เห็นอะไรรอบๆตัวคุณเลย เพราะมัวเอาเวลามองแต่ตัวเองตลอดเวลา ผลประโยชน์ สิ่งที่จะได้ และอีกมากมายที่ จบด้วยตัวเอง สิ่งที่อยากได้ หรือสิ่งได้พวกนี้ มันไม่มีความสวยงามเลย เราขับรถ เราก็มัวแต่มุ่งไปข้างหน้า นั้นยังไม่พอ หากมีใครขับช้าเราก็พยายามจะแซงอีก และเรารีบเร่งที่ต้องไป เราคิดว่าต้องไปให้เร็วที่สุด แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้เร็วขึ้นเท่าไร มีแต่ความร้อนในใจที่ร้อนแรงขึ้นเท่านั้น   เมืิ่อเราเริ่มสนใจความเป็นอยู่สิ่งที่เคลื่อนไหวรอบข้าง เราจะรู้ถึงสถานการณ์ ความเป็นไปได้ และความเป็นไปไม่ได้ หากเรารู้ถึงความเป็นไปได้...

ปัญหาคิือสิ่งที่ต้องแก้ไข

ปัญหาคือสิ่งที่ต้องแก้ไข ถ้าไม่ใช่ปัญหาก็ไม่ต้องแก้ไข แต่เราจะเข้าใจว่ามันคือปัญหาหรือไม่ ก็อยู่ที่มุมมองและโจทย์ที่เราตั้ง ถ้าเราต้องการ ให้ธุรกิจโตขึ้น 10% ต่อปี ถ้าปล่อยเฉยๆแล้วมันโต ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้า มันไม่โต เราก็ต้องแก้ปัญหา โดยทำให้มันรักษาระดับความโต แต่ปัญหาของเรา ถ้ามีปัจจัยภายนอกมาคิดคำนวน เราอาจจะงงกับปัญหาของเรา หรือปัญหาของคนอื่น แล้วมันมากระทบเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าเป้าหมายของเรา คงเดิมแต่มีปัจจัยที่เปลี่ยนไปมากระทบ ไม่ว่าปัญหาของใคร เราก็ต้องแก้ให้ได้ เพราะเราสร้างปัญหา...

Just be your self, it too late to change to be other

เราเห็นคนอื่น คนที่มันเท่ห์ๆ รวยๆ หรือเป็นคนที่โดดเด่น เขาเป็นไอดอลของเราเลยละ เราก็อยากเป็นอย่างนั้น พยายามคนคว้า และเลียนแบบ แม้ว่าพยายามแค่ไหน ก็ทำไม่ได้สักที บางทีมันต่างกรรม ต่างวาระ ต่างคน ต่างสถานที่ ต่างเวลา เราอุส่าห์ลอกเป๊ะ แล้วก็ถึงทำไม่ได้   แต่พอเราเลิกพยายามเป็นเหมือนเขา แต่เอาประสพการณ์ที่เขาทำมา มาเรียนรู้ และปรับปรุงให้เป็นตัวเราแล้ว ทุกอย่างก็เหมือนเราจะทำได้แล้ว เป็นตัวเอง เป็นจนถึงขนาดเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น  ...

ในที่สุด เราต้องสร้างความสมดุลย์

ผมเชื่อ เมื่อมีดีมันก็ต้องมีเสียมาด้วย มันเป็นของคู้กัน ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง แต่การที่ได้บางอย่างนั้น ทำให้เรามองข้ามสิ่งที่เราต้องเสียไป และในบางครั้ง เราก็เลือกได้อย่าง และยอมเสียอีกอย่าง เพราะสิ่งที่ได้มันสำคัญกว่า บางครั้งเราเลือกทำงานหาเงิน จนลืมเรื่องสุขภาพตัวเอง แม้เราได้เงินมา สุขภาพเราก็ทรุดโทรมเรื่อยๆ จนวันนึง เราก็ต้องเลือกสุขภาพ ทำให้เราต้องลดระดับการขวนขวายหาเงิน แต่จะหันมาดูแลสุขภาพอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะไม่นานเราก็ไม่มีเงิน ฉนั้น เราก็ต้องทำมันทั้งคู่ เพราะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ และมากไปทั้งคู่ก็ไม่ไหว อาหารที่อร่อยมันต้องมีความสมดุลย์...

ถ้าของมันแพง ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ

สินค้าบางอย่าง ถ้าคำนวนจากต้นทุน เราก็คิดว่า ทำไมราคามันต่างจากราคาขายแบบฟ้ากับเหว เราก็ดันไปวิจารณ์มัน ว่ามันเว่อร์อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วบางแบรน์ทำไมขายดี ถ้ามันไม่ดีจริงทำไมมันยังอยู่ ไม่เจ๊งตายไปละ   จริงๆแล้ว ก็เพราะเราไม่ใช่สำหรับเขา แต่เขาก็ทำให้เราเป็นกระบอกเสียงช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ แหม่… พลาดท่าโฆษณาให้ฟรีๆ แถมแบ่งชนชั้นให้เขาเสร็จ คนขายก็สบาย มาเหนือเมฆ มี position เรียบร้อย เค้าก็ไปขายคนที่ใช่ คนที่เห็นคุณค่า คนที่คาดหวังอะไรบางอย่าง ถ้าคุณขายของ...

ผมถามคุณคำเดียว ถ้าคุณผิด แล้วจะทำอย่างไร

เวลาเห็นคนเสนอขายสินค้า ส่วนใหญ่มักพูดแต่ด้านดี เพราะเขาอยากขาย ถ้าพูดน่าฟัง มันก็จะน่าคล้อยตาม มันคงเป็นเหตุผลของอารมณ์ที่พาไป แต่ถ้าเริ่มใช้ความคิดฉุกคิดสักนิดหน่อย ว่า แล้วถ้ามันไม่ใช่ละ คำถามนี้ มันเหมือนเป็นคำถามเบรกทุกสิ่งอย่างที่คิดว่าดีงาม ให้หยุดนิ่ง สะกดได้ทุกสิ่ง แล้วเราก็ต้องย้อนมานั่งคิด หรือถามกลับไปยังผู้เสนอสินค้า หากเขาตอบได้เป็นที่น่าพอใจตามตรรกะ ก็โอเค แต่ถ้าหากเขาเฉไฉ วนไปวนมา แล้ววกไปเรื่องดีต่อ ผมว่ามันไม่น่าจะจบงานกับเขาได้ เพราะ สิ่งที่เราต้องคิดให้ครอบคลุมคือ ถ้ามันไม่ใช่ เราจะทำอย่างไร...

ถ้าไปไม่สุด ก็ไม่รู้จะจบมันตรงไหน

การเดินทาง หรือการจะทำอะไรสักอย่าง บ่อยครั้งที่คนทั่วไป ล้มเลิกมันกลางคัน เพราะรู้สึกว่า มันเหนื่อย มันยาก มันท้อ แต่มันก็ทำให้เรา เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ และมันจะค้างใจเราไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราอยากรู้มันจะวนเวียนอยู่กับตัวเรา อาจจะมีข้ออ้างมาบ้าง มาปลอบใจ แต่เรารู้ตัวเอง แต่ก็หลอกตัวเองไปเรื่อยๆนะหรือ ถ้าเราฝืนใจสักครั้ง ไปให้สุด คำตอบจะเป็นอย่างไร ไม่สน ขอให้ไปสุดทาง เมื่อครั้งแรกทำได้ เราก็มีกำลังใจ ว่าเราทำได้ และถ้าความรู้สึกว่าทำได้มาแล้ว...