ทุกอย่างมีค่า ถ้ามองเห็นมัน

วันนี้จะสร้างอะไรใหม่ๆ มันก็ต้องมีต้นทุน แต่เราเอาอะไรที่มีอยู่แล้ว หรือที่เราทิ้ง มาปรับปรุงให้มันเกิดมูลค่า หรือ สร้างมูลค่าเพิ่ม ก็ย่อมดีหลายประการ อย่างแรก คือ ไม่มีต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งจะทำให้เราได้เปรียบในการกำหนดราคา อย่าวสอง คือ ช่วยรักษ์โลก เพราะเราเห็นคุณค่ากับทุกอย่างที่ออกมา เราทำอาหาร เศษอาหารที่เหลือ ก็ทิ้งลงขยะ คนเก็บขยะก็ต้องมา เพื่อเอาไปกำจัด แต่เราทำอาหาร ทานเหลือ เศษอาหารเหลือทิ้งก็ย่อมเอามาหมักเป็นปุ๋ยได้ อันนี้...

จะทำอะไรก็ต้องมีส่วนผสม

หากคิดทำอะไรอย่างเดียวแล้ว มันอาจจะทำได้ หรือทำได้ดี แต่อยู่กับตัวเราคนเดียว ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องมีส่วนผสมอย่างน้อย สองอย่าง คือ สินค้า/บริการ และก็ ขาย มันถึงจะเกิดเป็นธุรกิจได้ ไม่งั้น คนที่ชอบวิจัย ก็จะมี แต่งานวิจัยออกมา แต่มันขายไม่ได้ เพราะไม่ได้รักและไม่ได้ชอบขาย ของมันก็ดีอยู่บนนั้น บนหิ้งนั่นแหละ ทำออกมา ของดี ที่ไม่ได้ทำประโยชน์ หรือนักขายเอาแต่ขายๆๆๆโดยไม่สนใจสินค้า คือเทพแห่งการขาย...

ลูกค้าเขาจ่าย100 เขาก็คาดหวัง มากกว่า 100ทั้งนั้น

ความพอใจ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ มันแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา มันก็มากับความคาดหวัง เราจ่ายไป 100 เราก็อยากได้มากกว่า 100 แต่จริงๆอยู่ที่ เราคิดว่าสิ่งที่เราอยากได้นั้นมันเท่าไร ถ้าสิ่งนั้นเราคิดว่า 200 แล้วเราจ่ายมาแค่ 100 เราจะรู้สึกดี รู้สึกถูก โดยที่ไม่รู้ว่าต้นทุนมันอาจจะมา 50 ก็ได้ แต่เราไม่รู้ก็ไม่เป็นไร นักการตลาดมันก็ต้องสร้าง value ให้มัน over cost...

อย่าประเมินด้วยสายตาอย่างเดียว

สิ่งเดียวที่หลอกง่ายที่สุด คือ หลอกตา การตบตา สร้างภาพบางอย่างขึ้นมา ให้คนเข้าใจผิด หรือให้คนคิดตามในสิ่งที่เราสร้าง อยากดูเป็นคนรวย ก็โพสไปที่แพงๆ ใช้ของแพงๆ ไลฟ์สไตล์แพงๆ คนที่มองเรา ก็จะคิดว่าเราเป็นคนร่ำรวยไฮโซไป พวกนี้ดูไม่ยาก ถ้ามีประสพการณ์ในการวิเคราะห์หรือมอง สิ่งพวกนี้ นักการตลาด ก็เป็นวิชาสร้างภาพอย่างหนึ่ง ให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาบอก ด้วยการสื่อสารต่างๆ ทั้งสื่อวงกว้าง และสื่อเจาะจง โฆษณาต่างๆ มันยัดเยียดเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัว ไปๆมาๆ...

อะไรก็นวัตกรรม มันใช่ทุกอย่างเหรอ

ความหมายบางความหมาย ถ้าใช้มันจนฟุ่มเฟือย ใช้มันจนคุณค่าของมันด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คำบางคำ มันมีความหมายลึกซึ้ง แต่คนก็เอามาใช้แต่ผิวเผิน ทำให้คนฟังในช่วงแรกๆ รู้สึกตื่นเต้นกับมัน แต่ต่อมา ได้รู้ว่ามันคืออะไร ก็เห็นเป็นเรื่องปกติ เหมือนมันเป็นวาทกรรม หาคำใหม่ๆมาแทนคำพื้นๆ คำว่านวัตกรรมนั้น จริงๆ มันต้องมาด้วยหลักถึงสามข้อ 1 เป็นสิ่งประดิษฐใหม่ จะใหม่มากใหม่น้อย ใหม่นิดหน่อยก็ตามที 2 ต้องใช้ หรือให้บริการในเชิงพานิชย์ได้ หรือปั้มได้เยอะๆ ถ้าเป็นเฉพาะกลุ่มก็ต้องใหญ่ระดับหนึ่ง...

การสร้างธุรกิจใหม่ อย่าลอกมันเต็มๆ

แม้ว่ากระแส startup หรือการสร้างธุรกิจให้โตอย่างรวดเร็วนั้น เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วๆไป ที่ยังไม่มีงานหรือมีงานประจำนั้น ได้หันมาทำกัน แต่การคิดจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องมองให้ลึกซึ้งถึงแก่นมันจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นคนอื่นทำแล้วดี แล้วเราก็ทำได้ เพราะถ้าแค่นั้น ใครๆก็ทำ แล้วกระโดดเข้ามาแข่งกัน สำหรับคนที่ไม่มีอะไรดีกว่า มันก็ฟัดกันที่ราคา ทำไปมาขาดทุนเงินทองเสียเวลาเปล่าๆ เราต้องมองไปถึงปัญหา และจะดีมากหากปัญหานั้นเกิดขึ้นกับตัวเราเอง และนอกจากเกิดขึ้นกับตัวเราเองแล้ว มันก็เกิดขึ้นกับหลายๆคน เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเราคิดแก้ไขออกมาได้แล้ว ก็ย่อมมีประโยชน์กับคนส่วนนั้นด้วย หากคิดเป็นธุรกิจ แล้วได้แก้ไขปัญหาให้กับคนอื่น...

คนฟัง ย่อมชนะใจคนพูด

จริงๆแล้วคนเก่งส่วนใหญ่ก็ชอบแสดงออกถึงความเก่งออกมา คือการพูด ในสิ่งที่ตัวเองรู้ มันก็ไม่ผิดนะครับ แต่พอ คนรู้มาเจอกันสองคน มันก็มีการถกประเด็นในหัวข้อเดียวกัน ว่าแต่ละคนรู้และเข้าใจเป็นอย่างไร แต่พอเมื่อสองฝ่ายพูดพร้อมๆกัน ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายฟัง เมื่อเราเอาแต่พูด เอาแต่สิ่งที่ตัวเองคิดแล้วคิดพยายามทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ โดยไม่คำนึงถึงความเข้าใจของเขา เรามัวแต่พูดจะยัดเยียดความรู้ความเข้าใจของเราให้เขา แต่ความเข้าใจของเขามีแค่ไหนเรากลับไม่สนใจ ผู้ที่พูด มักเปิดเผยจุดอ่อนของตน เพราะไม่มีสติและเวลาไปสังเกตุอีกฝ่ายหนึ่ง คนที่ฟังมักได้เปรียบ ได้รับรู้ ได้คิด ได้ประเมินว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ต้องการบอกอะไร เมื่อเรารู้แล้ว เราก็สามารถตอบกลับให้ตรงประเด็นได้...

ไฟล่อแมงเม่าได้เสมอ

เรามักเห็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่ก่อนแมงเม่าตายแน่นอน เพราะบินเข้ากองไฟ แมงเม่าไหม้ตาย แต่สมัยนี้แมงเม่าอาจจะไม่ตายเพราะ มันวิ่งหาไฟนีนอน…5555 คนเราก็มีความอยากและความโลภ มันก็เหมือนเป็นเม่า ขอให้มีใครก่อกองไฟมาล่อ เราอาจจะขาดสติ วิ่งเข้าไปได้ ความอยากรวย อยากเด่น อยากดัง อยากมี อยากได้ นักการตลาดก็เอาจุดต่อมอยากมาล่อ ง่ายๆเลย แค่นี้ ส่วนใหญ่วิ่งเข้าไปตาย ลดราคาทะลุพิกัด มันไม่ได้อยู่ที่% อย่างเดียว มันอยู่ที่เรารู้สึกว่ามันถูกจนต้องซื้อมาก่อน ที่จะถามว่า...

ตอนที่คิดไม่ออก สมองจะพาเราไปไหน

มันก็มีบางวันครับ ที่ผมคิดอะไรไม่ออก พยายามเค้นก็ยังไม่ออก รู้สึกเลยว่าสมองล้า อยากจะหนี ผมก็ปล่อยให้มันเตลิดไป เพราะผมก็อยากรู้จะพาผมไปไหน มันพาผมไปยุค90s ครับ อยากฟังเพลง อยากดูหนัง หรืออยากรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมในยุคนั้น   พอมาคิดๆดู มันก็หลายครั้งครับ ที่คิดไม่ออกแล้วมันก็วนเวียนกลับมาที่จุดยุคนี้ อาจเพราะ ตอนนั้นผมเริ่มโต เริ่มคะนอง เริ่มคิดเองโดยไม่มีกรอบ สนุกกับมันได้เต็มที่ ไม่คิดถึงเรื่องเสียหาย หรือจะมีกินหรือไม่ ได้มาก็ใช้ๆไป มันเทียบกับตอนนี้ไม่ได้...

ห่วงผิดที่ มันก็เท่านั้น

สังคมเรา มีกระแสแปลกๆ และการปลุกกระแสแปลกๆ มันเลยทำให้ตรรกะความคิดมีความแปลกไปด้วย   สังคมเรา ในปัจุบัน อยากจะทำให้เป็นสังคมไร้เงินสด คือ จะใช้การแลกเปลี่ยนทางอิเลกโทรนิกแทน ความห่วงของนักวิชาการที่อ้างถึงแต่ละหัวข้อนั้น ก็น่าสนใจ แต่ไม่น่าเป็นข้อต้นๆ เช่น เรื่องระบบความปลอดภัย ว่ามีความเป็นไปได้ในเรื่องโจรกรรม มีการเปรียบเทียบ หากคุณโดนขโมยกระเป๋าเงิน อาจจะไม่เท่า คุณโดนโจรกรรมทางอิเลกโทรนิกซึ่งทุกอย่างที่มีอาจจะหายไป ใช่ครับก็น่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่ผมห่วงกว่าทุกวันนี้คือ ห่วงหาเงินให้มีกินก่อน มีฝากก่อนน่าจะดีกว่าที่คิดว่า ถ้าเรามีแล้วถูกขโมย...