ชีวิตที่มีความสุข คือชีวิตที่เราใช้มัน

เรื่องความสุข จะให้พูดมันก็พูดยาก แต่ละคนก็มีแนวทาง นานาจิตตังกันไป แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ผมได้เห็นหลายคนมาก คือทำงานหาเงิน หาแต่เงิน ไม่ค่อยมีโอกาสใช้เงินเพื่อความสุข หาเงินเก็บไว้รักษาตัว ส่วนหนึ่งมันก็ถูกนะครับ แต่เป็นแบบนั้นมากๆ ทัศนคติมันจะเสีย สังคมก็จะแคบ โอกาสมันก็จะน้อย เพราะทุกอย่างมีได้มีเสีย ให้ได้บ้างเสียบ้าง ได้มากกว่าเสียก็จะทำให้เกิดวงจร แต่ถ้าได้อย่างเดียวไม่ยอมเสีย คนจะไม่คบเอานา แต่ก็อีกว่า เสียไม่ยอมได้ เสียไปมากๆ มันก็จะไม่มีให้เสียเอา ชีวิต...

ความเชื่อที่แตกต่างกัน คงต้องดูตอนอยู่ร่วมกัน

แต่ละคน ก็ย่อมมีความเชื่อที่แตกต่างกัน เช่นแต่ละคนอาจจะนับถือศาสนาที่ไม่เหมือนกัน จะพุทธ คริส อิสลาม หรือลัทธิต่างๆ เมื่อมาอยู่รวมกันแล้ว และพูดถึงสิ่งไหนดีกว่า ก็ย่อมมีปัญหาได้ง่าย แต่หากเรามองที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติ โดยไม่ใช่เอาของดีของเราไปยัดเยียดให้คนอื่นเขา ก็ย่อมต้องมีระยะที่เอื้ออาทรกัน เขาจะทำอะไรก็ได้ หากไม่ได้ทำผิดกฎของสังคม คือทำผิดกฎหมาย และไม่ได้เบียดเบียนให้คนอื่นเดือดร้อน จะนับถืออะไรก็ได้ หากช่วยเหลือกัน อย่างจริงใจ โดยมุ่งหวังสันติภาพเป็นสำคัญ จึงจะอยู่ร่วมกันได้ แต่หากเป็นอย่างอื่น มันก็คงร้าวลึกแตกใน รอวันระเบิด...

ความโง่ก็มีดีอยู่ตรงที่ได้ทำเลย ถ้าฉลาดจะไม่ทำ

ตอนที่ผมคิดดีแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำมากกว่าทำ เลยคิดถึงตอนโง่ ไอ้ความโง่นี่แหละ ทำให้เราทำได้ทุกอย่าง ทำมันเลย เพราะคิดว่ามันง่าย ไม่มีอะไร เพราะเราโง่ ทำมันไปก่อนเลย เพราะมีเราเท่านั้นที่รู้เคล็ดลับ เพราะเราโง่คิดไปเอง ถ้าฉลาดจะไม่ทำมันเลย แต่ถ้าไม่ทำเลย มันก็ไม่รู้ ไม่ก้าวหน้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะงั้น บางที โง่ๆ ทำไปก่อน ทำมันไปแล้วไปแก้ข้างหน้า มีอะไรก็ทำๆไป เดี๋ยวก็ฉลาดเอง เพราะฉลาดก่อน...

เสียงของฝูงชน มันควบคุมไม่ได้ตามใจเราง่ายๆ

เรื่องของสังคม คนหมู่มาก นานาจิตตัง ถ้าเราเป็นจุดๆหนึ่ง ก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ถ้าเราเป็นจุดที่เด่นขึ้นมาหน่อย สิ่งที่เราทำก็ต้องมากกว่า ทำดี หรือที่คิดดีแล้ว เพราะมีคนมาก มีรัก มีเกลียด แค่ไหนประมาณก้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา บางที เราก็เป็นฮีโร่ได้ หรือบางทีเราก็เป็นตัวร้าย แต่สังคมชอบยัดเยียดความสะใจให้ ซึ่งโดยมาก ก็เป็นตัวร้ายมากกว่า มันไม่ใช่ทำดีไม่แคร์ใคร ตราบใดที่เราอยู่ในสังคม อิงสังคม มันอยู่กับสิ่งที่นอกเหนือความควบคุม ทำดีก็ต้องระวัง...

ภาพจากตา เรามักโดนหลอกเสมอ

สิ่งที่หลอกคนง่ายที่สุด คือจากสายตา แต่มันจะเด่นชัดขึ้นมา ตอนการกระทำ ถ้าเราตัดสินใจไปแล้วจากภาพที่เราเห็น มันอาจจะไม่ได้เป็น หรือเป็นแค่ส่วนเล็กๆที่เกิดขึ้นก็ได้ อย่ารีบในสิ่งที่เราไม่รู้จริง อย่ารีบในสิ่งที่เราไม่เกี่ยว เพราะไม่งั้น มันอาจจะทำให้สิ่งที่เราคิดไปเองฝังหัวได้ ค่อยๆเป็นผู้ดู สังเกตุการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะค่อยๆเห็นมันเอง อะไรก็ตามที มันก็แพ้กาลเวลาทั้งนั้น RIZfromeyes

เมื่อคุณรับเงินเขามาทำงาน ต้องละตัวตนด้วย

แยกเรื่องความเก่งกับ อีโก้ก่อนนะครับ การที่เรารับทำงานให้ใครหรือบริษัทไหม แสดงว่าเขาเอาหัวโขนที่เขาคิดมาใส่บนหัวเรา จะให้อิสระ มากน้อย ก็แล้วแต่นาย เราก็ต้องทำให้เขาอย่างคุ้มค่าที่จ่ายมา จะบอกว่า ได้มากทำมาก ได้น้อยทำน้อยก็แล้วแต่ ตราบใดที่อยุ่เป็น มันก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอกครับ เพราะอย่างน้อย มันบ่งบอกว่าเราเข้าใจ วิถีของการทำงาน คือเขาจ้างเรามาให้ทำ ให้คิด ให้โน่นนี่ก็แล้วแต่ตกลง มันไม่เกี่ยวว่าเราจะชอบงาน รักงาน หรือไม่ คือถ้าเราตกลงรับเงินเขามาแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ แต่ที่เห็นบ่อยคือเอาไว้ก่อน...

อย่าไปใช้เวลากับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

ไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็ย่อมเจอสิ่งสองสิ่งเสมอ คือ สิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ผมมักให้เวลากับสิ่งที่ผมควบคุมได้ เพราะผมสามารถ ปรับเปลี่ยน แก้ไข ทุ่มเท มันก็จะมีผลย้อนกลับมา ตามที่คาดเดา แต่ผมจะไม่ให้เวลากับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ฟ้า ฝน อากาศ เรื่องราวของคนอื่น ผมไม่อยากจะไปใช้เวลาไปกับสิ่งที่สามารถเอาไปทำอะไรที่มีประโยชน์ หากทุกคนมีเส้นตายเท่ากัน ก็ควรจะจัดสรรว่าอะไรควร อะไรไม่ควร วางแผนดีๆ ถ้าเราเอาเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ มาเป็นปัญหาใหญ่แล้ว เราจะเสียเวลาไปกับสิ่งที่...

จะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ใช่ว่าจะเกิดโดยไร้เหตุผล

เรื่องที่เกิดขึ้นทุกๆวัน ถ้าเราสังเกตุดีๆ มันย่อมมีที่มาที่ไป ผมว่า ไม่มีอะไรหรอก ที่มันโผล่ขึ้นมาเลยๆ ไร้เหตุผล คำว่า ดวง ยังใช้บุญกรรมนำแต่ง มันยังมีเหตุปัจจัย คำว่าฟลุ๊ก ดวงดี ถูกหวย มันก็ย่อมมีที่มาที่ไปเช่นกัน ไม่ใช่ ไม่ซื้อหวย แล้วจะถูกได้ หรือไม่ซื้อด้วยเงินตัวเอง ก็ย่อมได้มาทางใดทางหนึ่ง หากไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเลย ย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่บางครั้ง เราอคติ คิดมองแต่ตัวเอง...

ถ้าไม่ทำ ก็ไม่รู้ต้องแก้ยังไง

เจอปัญหา แล้วอย่าหนีไปเริ่มใหม่ เจอปัญหา อย่านิ่ง แล้วไม่ทำอะไร เจอปัญหา ทำๆไป ให้มันไปต่อ ต่อแล้ว เราก็จะรู้ ว่ามีปัญหาต่ออีก ทำไป แก้ไป แก้ไป แก้ไป แก้ได้ ก็เจอปัญหาใหม่ แต่ถ้าไม่แก้ ก็ไม่ไปไหน ทำไป แก้ไป ยังดีเสียกว่า RIZwhenido

อายุคงไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือวุฒิภาวะ

งานที่สุดที่เรานับกันคือเรื่องของความอาวุโส ผู้น้อยสมควร ที่จะเคารพผู้ใหญ่ อันนี้โดยปกติ แต่สมัยนี้ เราจะเห็นผู้ที่มีอายุน้อย ได้รับบทบาทที่สำคัญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ เพราะโลกเปลี่ยนให้เป็นผู้อายุน้อยขึ้นมาหรอก แต่เราให้โอกาส คนที่มีวุฒิภาวะที่โดดเด่นในด้านต่างๆขึ้น เพราะเรามองเห็นว่ามันเหมาะสมกับการทำงานในแต่ละอย่าง หลายคนที่สายอนุรักษ์นิยมไม่เห็นด้วย แต่บางอย่างผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ ก็ต้องปล่อยๆให้เด็กๆเขาทำ อันนี้ต้องหัดยอมรับ และปล่อยให้เขาเป็นผู้นำ เพียงแต่เราควรสอนในสิ่งที่สอนได้ และเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ถ้าเรายืนกระตายขาเดียว แล้วคิดว่า คนแก่กว่าย่อมรู้มากกว่าคนอ่อนกว่า แก่กระโหลกกะลา มันก็มีเยอะแยะไป ต้องมองว่าอยู่ในบริบทไหน...