จะทำอะไร ต้องเริ่มมองหาสิ่งที่เรามี ไม่ใช่สิ่งที่เราขาด

คนเราชอบมองหาแต่สิ่งที่เราขาด เช่น ถ้าเรามีเงินนะ เราจะทำสิ่งนั้นได้สิ่งนี้ได้ ถ้าเรามีเส้นสายนะ เราก็จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่เราไม่มีจริง มัวจะคิด มันก็เสียเวลา ไม่มีจะคิดไปทำไม แต่อยากได้นะเข้าใจ แต่เราไม่ค่อยคิดในสิ่งที่ตัวเรามี เพราะตาเรามองไปข้างหน้า ไม่ได้มองเห็นข้างใน เลยไม่ได้สนใจ เพราะไม่แน่บางคนก็มีสิ่งที่ดีๆ มีความสามารถอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดว่า สิ่งที่มี มันดียังไง เพราะรู้สึกเป็นปกติ มันไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่ถ้าเรามองกลับกัน ไม่สนใจในสิ่งที่ขาด แล้วเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เรามี...

อย่าปล่อยให้คำจำกัดความ มาเป็นอุปสรรค

ตอนที่เราจะทำอะไรใหม่ๆ คนอื่นเขาก็ถามว่ามันคืออะไร อยู่หมวดไหน ธุรกิจประเภทอะไร คือถ้าผมตอบได้ อย่างที่คนถาม มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหม่ๆ แต่พอตอบไม่ได้ คนเขาก็ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับ เพราะมันใหม่เกินกว่าขอบคำจำกัดความเดิมๆ ที่วางไว้ได้ ถึงแม้ว่าเราจะเอาสองสิ่ง มาหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน มันก็จะโดนจำกัดความอยู่ดี มันเป็นอุปสรรคในการยอมรับเหมือนกัน เพราะมันยังไม่มีมาก่อน ถ้างั้น ไม่ต้องตอบคนอื่นครับ เพราะมันตอบอย่างที่เขาพอใจไม่ได้ ก็ทำจนกว่ามันจะเสร็จ พยายามจนกว่าเป็นที่ยอมรับ และวันนั้น เราก็จำกัดความของเราขึ้นมาเอง เป็นทั้งผู้นำ...

บางทีคนเราก็ไม่ได้อยากได้อะไรใหม่ๆ แค่อยากแก้ปัญหาเก่าๆ

พูดถึงนวัตกรรม หลายคนคิดว่า มันคืออะไรใหม่ๆ ก็ใช่ครับ แต่ใหม่มีประโยชน์ หรือมีแค่ความรู้ เพราะถ้าใหม่ความรู้ หรือความรู้ใหม่ มันก็แค่เรื่อง academic แต่ถ้ามันมีประโยชน์ คนทั่วไป ถึงอยากฟัง ที่อยากฟังก็ไม่ใช่ มันใหม่แล้วดียังไง ผมแค่อยากฟัง ว่ามันแก้ปัญหาเก่าๆที่มีได้ไหม เราอยากสบายขึ้น ก็ไม่ใช่เอาสิ่งใหม่ๆมาทำให้ชีวิตยากไปกว่าเดิม เราอยากสบายขึ้น เพราะเราแก้ปัญหาเดิมๆได้มากขึ้น เราโอเคอยู่แล้วถ้าชีวิตไม่มีปัญหา หรือมีอะไรทำให้ปัญหาน้อยลง ไม่ใช่ ใหม่แล้วสร้างปัญหา...

แต่ละคนอ่านหนังสือ ได้ไม่เท่ากัน

หนังสือดีๆ มันจะมีประโยชน์ก็อยูที่คนอ่าน ต่อให้หนังสือไม่ดี มันก็อยู่ที่คนอ่านเหมือนกัน ว่าจะต่อยอดได้หรือเปล่า ถ้าต่อยอดได้ ก็ถือว่าดี แต่ถ้าหนังสือดีๆ ต่อยอดไม่ได้ มันก็ไม่มีค่า แต่ถ้าฝึกด้วยตัวเอง มันช้าไป ผมก็แนะนำอ่านหนังสือ เพราะคนอื่นทำมาแล้ว จะได้เป็น guide line ไม่ต้องเสียเวลา เท่ากับคนอื่น RIZreadabook

เคล็ดลับคือ

มีคนถามเคล็ดลับของผมมากมาย จริงๆมัน คือสิ่งที่ผมสั่งสมประสพการณ์ ที่มีความสนใจใคร่รู้หลากหลาย มารวมๆกัน เชื่อว่าแต่ละคนก็มีไม่เหมือนกัน สอนกันไม่ได้ แต่แบ่งปันได้ แต่จะได้หรือไม่ได้ มันก็เหมือน คนอ่านหนังสือแหละ ถ้าเขาเอาไปปรับใช้เป็นประโยชน์ มันก็ดีสำหรับเขา แต่ถ้าอ่านแล้ว ได้รู้ มันก็เหมือนเดิม ฉนั้นผมก็บอกได้ครับ ว่าเคล็ดลับของผม ไม่มี มีแต่ ทำไปเหอะ ไม่ต้องกลัว ทำไปเยอะๆ เดี๋ยวก็รู้เอง ไม่ต้องกลัวเสียเวลาหรอกครับ...

จะขายของเขา ให้ความสำคัญกับคนซื้อ ไม่ใช่ใส่ใจของตัวเอง

เราจะขายของเขา เราต้องถามเขาว่าเขาอยากได้อะไร แต่บางที เซลก็เข้าใจ ผิดพยายามยัดเยียดสิ่งที่เราคิดว่าดีๆ คือของๆเราที่จะขาย ให้ลูกค้าเลย ซึ่งแต่ละคน มีความสามารถในการพูดขนาดลิงยังหลับ แต่ที่ยังขายไม่ได้ เพราะเรายังไม่รู้จักลูกค้า เรายังไม่รู้ว่าลูกค้ามีปัญหา เราก็เสนอทางแก้ปัญหา ที่บางที ลูกค้าก็ไม่ได้สนใจไปแล้ว จริงๆ มันแค่ปรับกระบวนความคิดนิดหน่อย เริ่มถามเขาก่อน รู้จักลูกค้า หาความเชื่อมโยง นำเสนอผลิตภัณท์ พร้อมกับเชื่อมโยงในสิ่งที่ลูกค้าสนใจ บอกถึงบริการหลังการขาย และจัดท้าย ด้วยโปรโมชั่น...

รู้จักผู้ฟัง no one fit all

ได้มีโอกาสฟังกลุ่มคนมานำเสนอไอเดียเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ เข้าใจว่า ทุกคนก็อยากขยายตลาด อยากมั่งมีกันทั้งนั้น แต่พอแบ่งภาพคร่าวๆได้ว่า นักวิทยศาสตร์/วิศวกร ก็อธิบายกลไก ว่างานนำเสนอมันทำงานอย่างไร ค่อยๆเล่าเป็นประบวนการ บอกว่าทำอะไรได้ แต่ก็ไม่ได้บอกชัดๆว่าขายใคร นักวิชาการ / ก็จะอธิบายภาพรวมๆ ในหลักสถิติ ลงท้ายเป็นจำนวน หรือไม่ก็เป็นเปอร์เซ็น ก็ไม่ได้บอกว่า จะทำอะไรขายใคร ฟังแล้ว ผมว่ามันดี แต่พอเป็นแบบนี้ มันไม่น่าสนใจ สงสัยเขาลืมตระหนักถึงจุดประสงค์ ว่าเขามาทำอะไร...

ถ้าขึ้นชื่อว่าทำสิ่งใดแล้ว อย่าหยุดกลางคัน

ตอนเริ่มทำทุกคนก็มีเป้าหมายให้สำเร็จในสิ่งที่ตัวเองหวัง เหมือนคนที่เริ่มเรียนหนังสือ ก็อยากเรียนให้จบกระบวน ซึ่งปกติเหลือเกินของผู้ที่มองโลกในแง่ดีในตอนแรก ต้องมาเจอความจริงว่ามันไม่ง่าย มีความลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ทั้งปัญหาภายนอกภายใน การเมือง เรื่องชาวบ้าน นินทากาเล หรือคิดถึงบ้าน มันทำให้เรา อยากจะพัก อยากจะหยุด อยากจะพักผ่อน แม้บางที ก็ขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ตั้งใจจะล้มเลิก ในเป้าหมายที่ทำนั้น แต่ เมื่อทำไปแล้ว หากมีอะไรมาสะกิดความมุ่งมั่นแล้วนั้น โอกาสเขวมันสูงมาก อีกสักนิดอีกสักหน่อย พาลให้การใหญ่ต้องล่าช้า...

ฉลาดแต่ไม่เฉลียวก็แพ้คนเฉลียวที่ฉลาด

ความฉลาดโดยมากมักเป็นเรื่องของวิชาการความรู้ ในเรื่องการทำ การสร้าง การลดขั้นตอน แต่ในบางครั้ง ความฉลาดในเรื่องโง่ๆ ก็มีอยู่มาก แต่เมื่อความฉลาดมากจนเป็น ความละเอียดในงาน แต่ความเฉลียวมักมาด้วยประสพการณ์ที่ผิดพลาดที่เป็นคนสอน ทำให้เรารู้เรื่องราวโดยรอบ ว่าจะเป็นเช่นไร เจอเรื่องเยอะๆ แล้วผ่านมาได้บ่อย ก็จะมีความเก่ง ที่รู้ว่าเราต้องระวังอะไรบ้าง หรือรู้ต้องใช้ใครอย่างไรบ้าง ถ้าเจอคนเนียนๆ เขาอาจจะใช้เราโดยที่เราไม่รู้สึกและยินดีก็เป็นได้ ความฉลาด ต้องคู่กับความเฉลียว ถ้าความฉลาดอย่างเดียว ก็อาจจะแป๊กเจอหลอกได้ แต่ถ้ามีแต่ความเฉลียว ก็อาจจะไม่มีองค์ความรู้...

อย่าโลภกับเรื่องเล็กน้อยที่จะทำให้งานเสีย

เวลาคุณทำงาน จะดีแค่ไหน ตั้งใจแค่ไหน มันก็ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีอะไรทำให้เราไขว้เขว หากคุณอยู่ฝ่ายจัดซื้อ มันก็ต้องมีคนขายสินค้า มาคุยติดสินบนให้คุณ แล้วก็บอกว่า มันไม่เป็นอะไร ใครๆก็ทำกัน แต่ผมว่า เจ้านายคุณคงไม่คิดเช่นนั้น ถ้าจับได้ว่าคุณทำ ถ้าคุณอยู่ฝ่ายตรวจรับ มันก็ต้องมี คนส่งงานเสนอสินบนให้คุณเพื่อที่จะให้ผ่าน ถึงแม้ว่าจะได้มาตราฐานผ่านอยู่แล้ว ก็เรียกว่าเป็นสินน้ำใจ แต่ถ้าเรื่องมันดังขึ้นมา คุณจะบอกว่ามันได้มาตราฐานอยู่แล้ว พูดไปใครจะเชื่อ ถ้าคุณเป็นผู้พิพากษา ถ้ามีโจทย์หรือจำเลย มาขอให้คุณตัดสินเข้าข้าง แม้ว่าจะถูกต้องก็ตาม...