you will not get it because you want it

ผมเห็นเด็กๆที่เอาแต่ใจ คงไม่ใช่แค่เด็กๆที่เอาแต่ใจ มันคงเป็นสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมที่ทำให้เด็กพวกนี้เป็นแบบนี้ คงเป็นผู้ปกครองที่ จะทำทุกอย่างให้เด็กรู้สึกว่า จะได้เพียงเพราะเค้าร้องขอ คงเป็นผู้ปกครองไม่อยากเห็นความลำบากในตัวลูกๆเขา เหมือนตอนที่เขาลำบาก แต่พ่อแม่ไม่ได้หยิบยื่นโอกาสเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสนอหนทางที่โลกแห่งความจริงให้ไม่ได้ เด็กๆ เราร้องไห้ แล้วบอกพ่อแม่ว่าอยากได้ พ่อแม่ก็จะหามาให้ แต่ถ้าเราโตแล้ว ทำงานแล้ว เราร้องไห้ในห้องประชุม คนคงคิดว่าเราเป็นบ้า การปรับตัวว่าให้เรารู้ว่า โลกนี้ไม่ได้อยู่ง่ายๆ เหมือนที่พ่อแม่ปฏิบัติให้เรา วันนึงเราจะรู้ ว่าเวลา อยากได้เงิน ไม่ใช่แค่เดินไปบอกพ่อแม่แล้วแบมือ...

เราควรเรียนรู้สิ่งที่ไม่รู้ ไม่ใช่รู้แล้วก็รู้เหมือนเดิม

มีสิ่งที่เรียนรู้มากมาย แต่เราต้องเรียนรู้สิ่งที่เราไม่รู้ อะไรที่รู้แล้ว เพราะเราไม่รู้มาก่อนแล้วเรียนรู้มัน จะเรียนรู้แบบไหนก็ได้ เรียนแล้วให้รู้ ถ้ายังไม่รู้ก็เรียนใหม่ หรือหาวิธีต่อไปให้รู้ แต่ถ้ารู้แล้วก็เรียนรู้เรื่องเดิม มันก็ได้ไม่มากกว่าเดิม มันเสียเวลา เราไม่แตกฉานเพราะเรียนเหมือนเดิม ต่อให้เรียน ป.1 10รอบ ก็ไม่เก่งกว่าคนที่เรียน ม.1 แต่เราควรจะรู้ว่าเราขาดอะไร เช่นเด็กสมัยนี้ควรเรียนรู้เรื่องความอดทน เพราะเรื่องเทคโนเนี่ยเก่งอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งมีความอดทนอยู่แล้ว ควรเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี ผู้หญิงควรเรียนรู้ผู้ชาย ผู้ชายก็เรียนรู้ผู้หญิง...

enjoy little thing

นั่งอ่านงานวิจัยตลาดจากที่ต่างๆ ไม่ค่อยเจอเรื่องดีสักเท่าไร และที่น่าสนใจ คือ คนเป็นหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่ได้ก่อเกิดรายได้ หรือหนี้ของการฟุ้งเฟ้อ แม้ว่ารายจ่ายบางอย่างก็มีความจำเป็นของการเข้าสังคม แต่เมื่อความพร้อมของตัวเองไม่มี และเรียกการก่อหนี้นั้นว่าโอกาส บางครั้งถูกบางครั้งผิด แต่บ่อยครั้งได้ไม่คุ้มเสีย ค่านิยมผิดๆ และความคิดว่าคุ้มค่าแลกมาด้วยการจ่ายที่เพิ่มขึ้น อายุยืนแต่ ด้วยความสามารถหรือเป็นภาระให้กับครอบครัวและสังคม จบมหาวิทยาลัย และตกงาน อันเนื่องมาจาก เศรษฐกิจที่ตกต่ำลง และองค์กรที่อยู่รอด ก็ต้องการคนที่มีความสามารถมากขึ้น หากมีความรู้แค่พื้นๆ ก็คงยากที่จะหา และความอดทนต่อสิ่งแวดแล้วก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน...

ที่เราเลือก เพราะเราไม่ชอบทำอีกอย่าง…

ผมเคยสัมภาษณ์คนรับสมัครงานมาก็พอสมควร บางทีผมก็เจอทัศนคติแปลกๆ แม้แต่ตัวผมเองในบางครั้ง (แต่ก่อนไม่ได้คิด โตมาถึงคิดได้) ย้อนกลับไปช่วงยอดฮิตของคนเรียนไม่เก่ง สมัยมหาวิทยาลัย บางคนไม่ชอบเรียนเลข เลยมาเรียนเรื่องภาษา บางคนไม่ชอบเรียนเรื่องภาษาเลยหนีไปเรียนคำนวน บางคนไม่ชอบทั้งเลขและภาษาเลยหนีไปเรียนศิลป์ มันก็มีส่วนถูกอยู่ ไม่เลือกในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ แต่มันก็เหมือนตัดช๊อยส์ ให้เหลืออันที่ทำได้ อันนี้ มันก็มาทาง เลือกให้อยู่รอด แต่เมื่อเราก้าวมาทำอะไรสักอย่างแล้ว เราก็ต้องมีความรักในสิ่งที่ทำ ไม่ใช่แค่ทำในสิ่งที่ทำได้ และสิ่งที่ทำไม่ได้เราก็หนีมันไป บางคนกลัวฝังใจจนติดมาเป็นนิสัยถึงตอนทำงาน พอถ้าเจอแม้เพียงนิดหน่อย ก็ไม่เอาหรือหนีมัน...

ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกมากขึ้นเรื่อย ๆ2

นักการตลาด ย่อมเข้าใจคน ที่ไม่อยากลำบาก เพราะต้องการความสบาย เลยออกผลิตภัณท์ หรือ การบริการที่ช่วยให้เขาเหล่านั้น สดวกสบายยิ่งขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ที่เราใช้จนไม่รู้ตัว และเราก็จ่ายโดยไม่รุ้ตัว เพราะบางอย่าง เราไม่ได้คิด แนะนี่คือช่องว่างที่ นักการตลาดต้องมา แต่ก่อน หากซื้อของเราต้องไปสถานที่ขาย แต่เพราะมันกระจาย ไม่สามารถซื้อในที่เดียวกันได้ ห้างสรรพสินค้าก็เกิดขึ้น โดยรวบรวมสิ่งต่างๆ แทนที่เราจะไปหลายๆที่ มาไว้ที่เดียว พอรถมันติด การตลาดออนไลน์ก็เข้ามา...

ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกมากขึ้นเรื่อย ๆ1

ผมว่าคนเริ่มเป็นง่อยกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะการที่ใช้ สิ่งต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อความสดวกสบายเกินไป แต่ก่อน ร่างกายและสมองของเราได้ขยับเขยื้อนบ้าง ออกวิ่งเดิน และคิดบ้าง ทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะโครงสร้างของมนุษย์มันไม่ใช่สิ่งจะต้องอยู่เฉยๆ ไม่งั้นร่างกายเราผิดปกติแน่นอน ปวดโน่นนี่ ป่วยโน่นนี่ ยิ่งในเมือง ภาวะมลพิษมันเยอะ แล้วร่างกายเราก็ไม่ทำอะไรเองเลย มัวแต่หาตัวช่วย อยากแข็งแรง ก็กินอาหารเสริม ไม่ออกกำลังกาย อยากได้กล้ามเนื้อ กินโปรตีน ไม่ออกกำลังกาย อยากออกกำลังกาย จ่ายเงินซื้อคอร์ส...

ผู้ที่รับผิดชอบจะเป็นคนเลือกวิธีการที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย

ผู้นำคือผู้ตัดสินใจสุดท้าย อาจจะไม่ใช่คนคิดก็ได้ อาจจะไม่ใช่คนเริ่มก็ได้ อาจจะไม่ได้ใดๆอื่นๆ แต่สุดท้าย เขาต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าจะไปต่อหรือไม่ และไปแบบไหน สังคมเรามี คนเชียร์ คนยุ แต่คนพวกนี้ อาจจะมีส่วนได้ส่วนเสีย และไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เขาก็ยุๆไปตามความคิดเห็นของเขาว่าดี และถูกต้อง มันไม่ผิดหรอก ที่เขาจะบอก แนะนำ และแสดงออก แต่มันจะผิดมาก หากเราเชื่อเขาเหล่านั้นโดยไม่ได้รู้ตัวไตร่ตรอง เพราะเขาเหล่านั้นจะพูดว่า ถ้าเขาเป็นเรา เขาจะทำอย่างนั้นอย่างนี้...

ความสามารถ มันนับที่อายุของประสพการณ์

ทักษะในการแก้ไขแก้ปัญหาต่างนั้น มันต้องถามว่าเคยเจอปัญหาเหล่าที่จะแก้หรือไม่ บางที คนเราก็มีความเชื่อผิดๆว่า ผู้ใหญ่ต้องมีความสามารถมากกว่าเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาวุโสมากๆ ในสมัยก่อน ทุกอย่างมันดำเนินเป็นกระบวนการอย่างช้าๆ มีการเดินกัน ไม่ได้แตกแถว ในช่วงอายุ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้มีการแข่งขันอะไรมากมาย ทำให้มีความคิดฝังหัวว่า คนที่อายุมากกว่า น่าจะเจออะไรมากกว่า ประสพการณ์มากกว่า และก็ต้องเป็นที่พึ่งให้คนอายุน้อยกว่าได้ แต่แล้ว โลกที่เราอยู่ทุกวันนัี้หมุนเร็ว หมุนเร็วจนพาเด็กรุ่นใหม่ อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย และพร้อมด้วยประสพการณ์ อยากจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง ไม่ต้องรอให้โตแล้วถึงค่อยเริ่ม...

no luck, pure skill

เพราะดวงมันไม่แน่นอน ไม่รู้จะมาเมื่อไร ถ้าดวงดีก็ดีไป แต่ถ้าดวงไม่มาจะแป๊กได้ เพราะเราไม่รู้เลยจะหวังพึ่งมันเป็นหลักไม่ได้ และจากประสพการณ์ที่ใช้ดวงมาเนี่ย ตอนอยากใช้ ไม่มา แต่ตอนลืมๆไป อยู่ดีๆมันก็โผล่มา ไม่ใช่ไม่หวัง แต่จะหวังพึ่งมันอย่างเดียวก็ไม่ได้ ฉนั้น การจะทำอะไร ก็ต้องฝึกฝนทักษะ ให้ประกอบเป็นผู้รู้แจ้งในสิ่งที่ทำ จงเป็นผู้เชี่ยวชาญ และหมั่นฝึกปฎิบัติและทบทวนอยู่เสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะมาเมื่อไร และไม่รู้ตอนไหนต้องใช้ เพราะรู้อย่างเดียว ถ้าจะใช้ มันต้องได้ และต้องได้เลย ไม่ใช่รอแป๊บ...

เราอยากให้คนอื่นได้ดี จนลืมตัวเอง

บางคนที่มีจิตใจดีและงดงาม ก็พยายามอยากให้คนอื่นได้ดี และบางที ก็บังคับ ขู่เข็ญ เคี่ยวเข็ญ ให้ผู้อื่นได้ดี โดยมีอุบายต่างๆ โดยมากมันก็หนักหนาเอาการอยู่ แต่บางคนพยายามทำให้จนลืมตัว ลืมปฐมแห่งตัวเอง ลืมช่วยเหลือตัวเอง มัวแต่ผลักดันคนอื่น กดดันคนอื่น ซึ่งก็ได้ดีบ้าง ไม่ได้ดีบ้าง แล้วแต่บุญกรรม วาสนาของแต่ละคน บางคนท้อ บางคนไม่พอใจ บางคนไม่ไปต่อ ถึงเกลียดขี้หน้ากันก็มี บางคนก็ยังมาเย้อหยันดูถูกเรา ผู้เป็นคนหวังดี เอ..กลายเป็นทำดีไม่ได้ดี...