ถ้าคุณเชื่อว่าอนาคตต้องดีกว่า มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

คนเราไม่กล้าเสี่ยงเพราะอะไร ส่วนมากไม่ได้คิด และคิดว่าทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่จริงๆ ไม่เคยเอาความเสี่ยงมาคำนวนเลย ว่า สิ่งที่เสี่ยงไป มันจะคุ้มค่ากับความเสี่ยงไหม เพราะพอคุยเรื่องความเสี่ยง ก็ไม่อยากเสี่ยงแล้ว เพราะความเสี่ยงมันน่ากลัวสำหรับความคิดคนปกติทั่วไป อยากได้ชัวร์ๆ มันคิดได้ แต่มันก็ไม่มี แต่จริงคนที่กล้า เขาอาจจะไม่ได้บ้าบิ่น แต่เขาคำนวนเงื่อนไขของตัวเอง เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว และคิดว่าจุดรับได้มันคุ้ม พอถ้าเชื่อว่าคุ้ม ก็ต้องเสี่ยง ไม่มีไม่เสี่ยง เสี่ยงไปเหอะ เพราะคิดมากแล้ว RIZbetforwin

คุณรู้ไหม เมื่อขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุด ความเสี่ยงสูงสุดก็ตามมา

ใครก็อยากไปถึงยอดตำแหน่งสูงสุด เพราะคนส่วนใหญ่มองแต่ด้านดี และดูเหมือนโลกก็พยายามหันแง่ดีให้คนทั่วๆไปมอง มองถึงเรื่องสิทธิพิเศษ มองถึงเงิน ถึงอำนาจ มองถึงความสบาย โลกหันแง่นี้ให้คุณมอง มันจะได้ทำให้คุณมีความอยาก มีความพยายามปีนป่ายตัวเองมาให้ได้ แต่โลกไม่ได้หันในสิ่งที่เป็นเงา ของสิ่งเหล่านี้ ตำแหน่งที่มีด้านดี มันก็ต้องมีด้านร้ายควบคู่มา เหมือนทีคนบอกว่า อำนาจ มาพร้อมความรับผิดชอบ ถ้าคุณถูก คุณก็รับชอบ แต่ถ้าคุณผิด คุณก็ย่อมต้องรับผิด ในการรับผิด มันก็อาจจะเพราะคุณทำเอง อันนี้คุณเองก็ย่อมเข้าใจได้ แต่ถ้าอะไรก็ตามทีที่อยู่ใต้การปกครองของคุณทำผิด...

ความสุขยากๆ มันคือการตลาด

จริงๆ ความสุขของคนเรา มันง่ายมาก คือ รู้จักพอ พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แต่ถ้าทุกคนพอใจ คนจะขายอะไรได้มากกว่าปกติ หรือแพงกว่าปกติละ มันก็เลยต้องสร้างความสุขยากๆขึ้นมา คืออะไรที่ต้องจ่ายแพงขึ้น หรือหายากเพื่อการได้มา และเอาเข้าจริงๆ การที่ได้มาแล้วมันก็ไม่ได้สุขนานหรอก เพราะมันไม่ใช่ความสุขพื้นฐาน การมีกระเป๋าสักใบ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้ากระเป๋านี้มันดีกว่าปกติ แล้วมีเรื่องเล่ามากมาย มีตำนานยัน ไททานิคล่มแล้วยังรอดมาได้ มูลค่ามันก็เลยเกินจริง เพราะ คือ ต้นทุนสินค้า...

เมื่อเราทำดีกับเขา เราหวังอะไรบ้าง

การทำความดี คนทำมักชอบพูดว่า ทำไป แต่ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ปัญหาต่างๆ ก็คงไม่ได้เกิด เราทำมันด้วยใจ สุดท้ายถึงไม่มีอะไรกลับมา ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเราฝึกฝน ฝึกตน ให้เป็นผู้ให้ และไม่หวังอะไรตอบแทน ให้แล้วก็แล้วกันไป มีใหม่ เราก็ให้ใหม่ แต่คนที่หวังอะไรตอบแทน ก็ต้องบอกความหวังไปให้ผู้ที่เราทำให้ ผู้รับจะได้รู้ในเงื่อนไข ไม่ใช่ บอกว่าไม่อยากได้ๆ พอถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ กลับไปเรียกร้อง หรือแม้แต่...

ถ้าคุณรักในสิ่งที่ขาย คุณจะไม่ขาย

คนที่รักการขาย พวกนี้ มีอะไรมันขายได้หมด ถือว่าเป็นสกิล จะเทพไม่เทพก็แล้วแต่คน แต่ถ้าคุณรักในสิ่งที่คุณขาย คุณจะมองสิ่งนั้นด้วยตัวคุณเอง ความเข้าใจ และความเชื่อของคุณเอง มันมากเกินไป และให้คุณค่าและราคามันสูงกว่าความเป็นจริง การมองด้วยสายตาผู้บริโภค มันถึงจะบอกได้ว่า สินค้าที่คุณว่ามันดี มันดีและมีค่าสำหรับผู้บริโภคเท่าไหน ตีมาเป็นราคาได้ ส่วนจะเพิ่มมูลค่าด้วย การตลาดหรือ การมีตราสินค้ามันก็ว่ากันไป แต่ที่สำคัญ เราต้องแบ่งแยกมองหลายๆมุม ด้วยหลายๆตาของหลายๆคน RIZeyes

สอนคนอื่นแล้ว ก็อย่าลืมสอนตัวเองไปพร้อมกัน

การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด จะเรียนรู้จากการที่เรียนจากคนอื่น หรือหาคนอื่นมันก็เรื่องนึง เราเอาความรู้ ความเข้าใจ ประสพการณ์ มุมมองที่ แตกต่างหรือมากกว่าให้เขา แต่ เราก็ต้องเรียนรู้ คนที่มาเรียนเราไปพร้อมกัน มันจะได้ทั้งคู่ มันจะได้รู้ว่าใช่ หรือถูกใจไหม เราอยากยิ่งให้ ยิ่งได้ บางทีมันก็ไม่ได้รอให้เขาให้กลับ แต่ที่เราได้ เราได้ทบทวน ยิ่งมาก ก็ยิ่งคล่อง ยิ่งแม่น เอาสิ มันก็ได้อะไรเหมือนกัน มองดีๆ...

ความสำเร็จของคนอื่น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมองหาในเรา

ความสำเร็จของคนอื่น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมองหาในเรา แต่เราก็จะมองความสำเร็จของเรา ในมุมมองที่เรามองคนอื่น ด้วยความคิดที่ไม่ได้ตรงกัน มันก็มีข้อถกเถียงกันไม่จบสิ้น มันก็ต้องอยู่ที่เราจะเลือกอะไร ถ้าเอาตามใจเรา มันก็ไม่ใช่อย่างที่คนอื่นอยากได้ แต่ถ้าเอาใจคนอื่น ก็ไม่ใช่อย่างที่เราอยากได้ จะหาตรงกลางก็ได้ แต่มันต้องสมดุลย์ในสิ่งแตกต่างกัน จนอาจจะไม่ได้ทั้งสองอย่างก็ได้ ถ้าเลือกได้ก็เลือกเอา แต่ถ้าเลือกไม่ได้ มันก็อาจจะไม่ได้ทั้งคู่ RIZsuccessforsome

เวลาเรามองตัวเองในกระจก มันดูดีเกินจริงเสมอ

ยังไงซะ เราก็ต้องเข้าข้างตัวเอง ในพื้นฐานของคน มันก็ต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน และนั่นก็จะเป็นจุดที่เราฝึกมองภาพที่เกินจริง เราอาจจะเป็นคนที่มองโลกแง่ดีในหลายๆเรื่อง มันก็ดี แต่มันก็คือแง่ดีเกินจริง บางทีคนก็ว่าเรามองโลกในแง่ร้าย เราก็อาจจะมองมันร้ายเกินจริง มันไม่ใช่เรื่องความพอดี แต่มันเรื่องมองความจริง อย่างที่มันเป็นหรือเปล่า ถ้าเราใส่สมการที่ถูกต้อง คำตอบก็จะออกมาถูก แต่ถ้า เราใส่สิ่งที่เกินจริง แล้วเราต้องหาคำตอบที่ถูก มันก็ย่อมมี หรือ เพิ่มตัวแปร อะไรบางอย่างมาหักล้าง จนกลายเป็นสมการที่ยุ่งยาก เพราะ มันกลายเป็นเงื่อนไข...

ถ้าเราไม่มีประโยชน์ จะมีเหลือคนคบเราไหม

เป็นคำถามที่น่าสนใจเหมือนวัดความเป็นเพื่อน แต่ก็อยากให้คิดอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะเรามีค่าจึงมีคงมาขอพึ่ง จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เราก็แยกแยะได้ วันๆก็ไม่เหมาะที่จะสวลเสเฮฮาอย่างไร้สาระแก่นสารไปวันๆ หากพิจารณาตามความจริงแล้ว ถ้าเจอคนที่ไร้คุณค่า รู้จักแล้วเป็นภาระ ในทุกแง่มุม มันก็ไม่ควรคบ เพราะอยากเจริญ ยังต้องฝึกคบบัณฑิต ตามกาลมสูตร ที่ว่าไว้ ถ้าเราอยากจะคบคนที่เจริญ เราก็ต้องเป็นคนที่เจริญเช่นกัน ถ้ายังไม่เจริญ ก็พยายามฝึกฝนทำตัวให้เป็นคนที่เจริญ เป็นคนที่มีประโยชน์ สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ อย่างน้อยสักทางหนึ่ง ถ้าเป็นคนที่ไร้ประโยชน์แล้ว ยังไม่มุมานะพยายามให้พัฒนาตัวเอง แล้ว...

ถ้าคุณไม่เคยทำอะไรสักอย่าง ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีใครเห็นหัวคุณ

ตัวเองเก่งไหม ตัวเองมีค่าพอไหม บางครั้งเราก็ตีค่าตัวเอง ซึ่งคนที่มองเราก็ตีค่าเราเหมือนกัน ทำไมคนเก่งๆ ถึงมีค่าตัวสูงนัก ทั้งๆท่ี่บางครั้งเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรเก่งๆ หรือบางทีทำเรื่องง่ายๆ ที่เราคิดว่าใครๆก็ทำได้ แต่จริงๆคือ เขาทำครับ เขาไม่ได้คิดอย่างเดียว ถ้าคุณคิดว่าทำได้เหมือนเขา แล้วไม่มีโอกาส เพราะโอกาสวิ่งไปหาแต่เขา ไม่จริงเลยครับ เพราะเขาทำตัวและวิ่งเขาหาโอกาสก่อน จนรู้จักโอกาสดี ถ้าคุณไม่รู้ก็ควรรู้ไว้ครับ เพราะ ที่ไม่มีใครเห็นคุณ เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรให้คนอื่นเห็น ถ้าสิ่งที่คุณทำเรียกว่าปิดทองหลังพระ มันก็ต้องยอมรับผลนั้นเช่นกันว่า ไม่มีใครเห็นหัวคุณ...