ความสมดุลย์ของการทำการตลาดระหว่าง off-on line

บ่อยครั้งที่ผมถูกถามว่า อนาคตของการซื้อขายจะเป็นเช่นไร ผมก็จะบอกว่า อุปโภคบริโภค จะหันมาด้าน online มากขึ้น แต่ปัจุบัน มันยังไม่ถึงจุดนั้น การตลาดจึงยังต้องทำควบคู่ผสมผสาน และอัตราส่วนมันก็ต้องอยู่ที่ระดับกลุ่มคนที่กำลังจะก้าวไป ความสมดุลย์ของการตลาด ไม่ใช่ อัตราส่วนที่ 50:50 แต่มันเป็นการตอบโจทย์กลุ่มคน ที่กำลังจะก้าวไปอนาคต ถ้าคนมากน้อยอยู่ขนาดไหนเราก็ทำให้มันไป จะทำการตลาดบริสุทธิเลือกข้าง คนก็ยังไม่แน่ใจ วันนี้กับ 5ปีที่แล้ว มันก็แตกต่างกันมาก แต่มันแตกต่างถ้านับวันนี้กับวันก่อนที่ผ่านมา แต่ความรู้สึกการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน...

เมื่อโอกาสมาถึงด้วยความชอบธรรม รับไปเถอะ

โอกาสจะเป็นสิ่งที่ มันมาของมันตลอด แต่การมาของมัน บางทีคนก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ชอบโอกาสมันบ้าง หรือไม่ชอบบ้าง แต่หลายๆครั้ง เห็นคนที่ปฎิเสธโอกาสแบบไม่รู้จะปฎิเสธทำไม จะบอกว่า ไม่ใช่แนว แต่เมื่อฟ้าพร้อม คนพร้อม ใยต้องเลี่ยงด้วย บางที เพราะความเกรงใจของคนเรา ทำให้เราไม่กล้า การที่จะยืนเป็นแถวหน้า มันก็ไม่ชิน แต่เมื่อถ้ามีใครผลักเราไปยืนเป็นผู้นำ แล้วรอบข้างยินดี ไม่ลองสักหน่อยเหรอ   จะให้ถูกต้องและถูกใจเราอย่างเป็นที่สุดนั้น คงจะแทบไม่มี...

อย่าอยู่ใกล้คนที่พูดว่าเป็นไปไม่ได้

ทํัศนคติเป็นสิ่งสำคัญ จินตนาการก็มีความสำคัญ แม้ว่าบ่อยครั้งจะเบลอๆถูกๆผิดๆไปบ้าง แต่ถ้าเราอยู่กับคนที่ พูดว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แล้ว จะหาความเป็นไปได้ตรงไหนตอนไหน ในเมื่อเขาไม่เชื่อ เขาอยากอยู่ในโลกที่ปลอดภัย แล้วเราพยายามที่จะก้าวหน้า เมื่อเราฝันหรือจินตนาการอะไร เขาเหล่านั้นก็ไม่เชื่อ และอยากให้เราอยู่ในโลกของความเป็นจริง เป็นจริงที่ปัจุบัน ที่ยังไม่าเกิดขึ้น และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าเราเชื่อเขา เพราะเราไม่ได้เริ่ม และผมไม่ได้บอกว่า มันจะสำเร็จ เพราะมันต้องผ่านการทำให้ถูก ที่เจ็บปวด แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ ห่างไกลจากพวกเป็นไปไม่ได้...

ทำอย่างไรถึงเฮง

ถึงเก่งแค่ไหน ก็สู้เฮงไม่ได้ เก่งอาจจะเรียนรู้ ฝึกฝนได้ ขยันกว่าชาวบ้าน มันก็เก่งกว่าชาวบ้าน พยายามมากกว่าชาวบ้าน มันก็เก่งกว่าชาวบ้าน แต่พอเจอคนเฮงเท่านั้นแหละ ที่เก่งๆ มองตาปริบๆแล้วไปต่อท้ายคนเฮง ที่บอกว่า แข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้นั้น เพราะแข่งอะไรที่เห็นมันก็รู้ทำอย่างไรมันก็เอาชนะได้ แต่เอาชนะในสิ่งที่มองไม่เห็น มันก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรมีดีแค่ไหน   แต่จริงๆคำว่าเฮง มันไม่ใช่อยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมา มันก็ย่อมมีที่มาที่ไป มันไม่ใช่แค่ความเชื่ิอ แต่ถ้าเราอยากมี เราก็ต้องเชื่อ...

ในแง่ร้ายของความอยาก คือทำให้เราจน

ทุกอย่างมีเหรียญสองด้าน มีดีและไม่ดี แต่ปกติ เวลาคนคุยกัน จะคุยเพียงด้านเดียว เพื่อความสบายใจ เป็นการให้กำลังใจ หรือขัดความไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่มันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะถ้าเราไม่รู้คครบรู้รอบ มันก็จะทำให้เราตัดสินใจเท่าที่รู้และมันน้อยไปไม่เพียงพอ   ความอยาก คำนี้ ทำให้เราดิ้นรน กระเสือกกระสน มานะพยายามเพื่อจะได้มันมา ทำให้มีความตั้งใจไขว่คว้า ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย แต่จริงๆ ความอยากมันก็ไม่เป็นตรรกะอยู่แล้ว เพราะการได้มาในสิ่งบางอย่าง มันไม่มีความจำเป็นต่อชีวิต มันก็สิ้นเปลือง ทั้งทรัพยากร...

สินทรัพย์ของคนขายคือคนซื้อ

ถ้ามีคนซื้อ แต่ไม่มีคนขาย คงกร่อยทีเดียว นักการตลาดที่ดี ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คนอยากซื้อ จะทำแล้วได้ผลไม่ได้ผลก็อยู่ที่ ผลตอบรับ ถ้าทำได้มาก ถือว่าเก่ง ถ้าได้น้อย ก็อาจจะเจ๊งไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งของและอุตสาหกรรม ปกติแล้ว นักการตลาดต้องเป็นคนที่ทันโลกและทันสมัยอยู่เสมอ เข้าใจแรงเหวี่ยงของกระแส ว่าไปทางไหนและต้องทำอย่างไร ทำอะไรกับคนกลุ่มไหนยุคไหนก็มีความแตกต่างในการดำเนินชีวิตของแต่ละกลุ่มนั้นๆ เด็กอาจจะใช้สื่อที่มีความรวดเร็ว ผู้ใหญ่อาจจะต้องใช้วิทยุอยู่ คนเฉพาะทางอาจจะต้องไปจัดกิจกรรมในแหล่งที่เขาพบปะสังสรรค์ ลูกค้าอยู่ที่ไหน เราต้องไปที่นั่นไปตามมาให้ซื้อ ระวังอย่าใช้ผิดประเภทเพราะมันแป๊ก ไม่มีสูตรสำเร็จ มีแต่สูตรที่พลิกแพลง...

ดีเกินไป ย่อมน่าสงสัย

อะไรดีๆ คนก็ชอบ ไม่มีใครชอบอะไรไม่ดี ทุกคนก็มุ่งหวัง และหาอะไรดีๆมาอยู่แล้ว แต่เรามักได้ยินอะไรที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วมาให้เราเช่น ข่าววงใน ทั้งๆ ที่เราไม่มีเส้นสายจริงๆ หรืออยู่ดีๆมีคนมาบอกเรา ด้วยความปรารถนาดี ที่ไม่น่าควรจะมี เช่นเลขล๊อกกองสลาก เลขวงใน มั่นใจว่าถูกแน่ๆ และคนบอกก็ฟังเขามาอีกที ให้สงสัยไว้ก่อน หากมีใครมาทำดีกับเรา ที่มันดีเกินไป มันก็ควรต้องน่าสงสัยไว้ก่อนเช่นกัน เพราะเค้าอาจจะหวังอะไรบางอย่าง แต่ก็อย่าปฎิเสธเขา ด้วยความที่เราไม่รู้จริง ก็ระวังๆไว้ก่อนเป็นดี...

ถึงทำให้เป็นคนที่รักไม่ได้ แต่ก็อย่าให้เกลียดก็ดีพอแล้ว

ใครๆก็อยากเป็นคนที่รักทั้งนั้น แต่เมื่อพยายามทำให้รัก มันก็ต้องรักษาระดับไว้ มันเป็นความคาดหวังที่สูงทีเดียว ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นที่รักได้ ถึงจะพยายามแค่ไหนก็ตาม กลับมาสู่โลกแห่งความจริง ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม มันจะมีสองด้านเสมอ ไม่ว่า จะทำดีแค่ไหนก็ตาม มันก็ต้องมีคนได้ และคนเสีย การที่จะได้ทุกคนนั้น มันถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นได้ยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้มากกว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ แต่การที่จะทำให้ทุกคนที่คิดไปนานาจิตตัง มาชอบนั้น ไม่ได้หรอก แต่การที่ทำตัวไม่ให้คนเกลียดน่าจะง่ายกว่า มันไม่ต้องพยายามทำให้คนชอบ แต่แค่ระวังตัวเองไม่ใช่ทำอะไรโดยไม่คิด ไม่ทำอะไรที่กระทบกระทั่ง...

เมื่อประสพการณ์เรามากขึ้น เราจะหัดโกหกมากขึ้น

ตั้งแต่เด็กๆ เราก็จะโดนสอนเลี้ยงดูให้พูดความจริง ถ้าเราโกหก เราจะถูกทำโทษ เป็นเด็กจะโดนตี จะต้องอดขนม อดเล่นกับเพื่อนๆ มันดูเหมือน ฝึกทำให้คนเป็นคนดี แต่เมื่อเราโตขึ้น โลกมันกลับกัน เมื่อเราพูดความจริง เราอาจจะเจอปัญหาได้ง่ายๆ สิ่งที่ขัดกับความถูกต้อง มักอยู่รอบๆตัวเรา การอยู่รอดเราต้องข้ามความจริง ต้องหัดโกหก ทั้งๆที่เรารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง เราก็ต้องทำ เพื่อความอยู่รอด การอยู่รอด มันต้องใช้การโกหกประกอบ แต่จริงๆแล้วโกหก มันก็ไม่ได้ผิดนักหรอก ถ้าโกหกในทางที่ดี...

อากาศร้อน น้ำท่วม รถติด อย่าโทษปัญหา

ประเทศเรา เป็นประเทศที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงรอดได้ หน่วยงานต่างๆเป็นของรัฐ ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออย่างยั่งยืนได้ทุกคน จะมาโวยวาย บอกว่า ต้องเป็นอำนาจรัฐ แก้นั้น รัฐเองก็มีเรื่องระดับความสำคัญที่เขาต้องจัดอันดับดูแล และแน่นอน คงไม่มาถึงเราอันเร็วเป็นแน่   การเอาตัวรอด หรือการอยู่ในเป็นปกติสุขนั้น มันเป็นสิ่งที่ต้องอยู่ในจิตของเราๆท่านๆทั้งหลาย ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน หากพึ่งตนเองได้รอดแล้ว การจะเป็นที่พึ่งหรือช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นได้ แต่หากมีจิตอยากช่วยคนอื่น แต่ยังเอาตัวเองไม่รอด ก็คงกอดคอจมน้ำตายด้วยความหวังดี   คิดอ่านอะไร เอาความจริงเข้าว่า...