ใครทำใจไม่ได้ ก็ไปอยู่บ้านเถอะ โลกคือการเปลี่ยนแปลง

ของดี มันอยู่เหนือการเวลา ถ้าทำอะไรดีๆมันจะอยู่ไปตลอด แต่การจะให้สิ่งนั้นอยู่ไปตลอด การนำเสนอก็ต้องให้มันเหมาะกับการเวลาด้วย จะมาคิดแบบ อยากดังต้องลงหนังสือ ออกทีวี มันเริ่มไม่คุ้มค่า มันมีสิ่งอื่นในปัจุบัน ที่ทำได้ดีกว่า ง่ายกว่า สดวกกว่า และถูกกว่า เพชรยังไงมันก็เป็นเพชร ทองยังไงก็เป็นทอง คุณค่ามิรู้เสื่อม แต่คนเก่าแก่ ได้จากไป คนซื้อใหม่ๆ ก็เริ่มขึ้น เพิ่มขึ้น การนำเสนอ เราก็ต้องไปอยู่ในจักรวาลของเขา จะมีกี่คนที่เขาจะหาในจักรวาลของเรา...

เราชนะคนอื่นได้ แค่ทำไปเรื่อยๆ

คนเก่งเยอะแยะครับ สังคมเรา ประเทศเรา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีคนเสนอแนะและติอยู่เสมอ องค์ความรู้มีมากมาย แต่รู้มาก มันก็ไม่ได้แปลว่าจะทำมาก ดีไม่ดี ทำน้อย หรือไม่ทำด้วยซ้ำไป เพราะรู้มากเกินไป และเห็นปัญหามากเกินไป อย่าไปมองคนทั่วไปว่าโง่นะครับ แต่เค้าอาจจะฉลาดมากจนไม่รู้จะทำอะไรดีก็เป็นได้ ถ้าอยากเอาชนะคนพวกนี้ เราแค่เริ่มทำอะไรสักอย่าง แล้วทำมันไปเรื่อยๆ บางคนอาจจะเห็นดีแล้วลอกตามเรา แต่มันก็ช้าไปครับ เพราะเค้าเป็นผู้ตาม ตามไปตามมาเขาก็เลิกก่อน ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ เพราะ ความอดทน...

เพื่อนจะเป็นเพื่อนได้ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกันไปเสียหมดทุกเรื่อง

ผมมีเพื่อนหลายกลุ่มหลายคน บางคนเป็นเพื่อนเพราะมีแนวความคิดตรงกัน ทำอะไรคล้ายๆกัน ซึ่งมันก็ดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะดูเหมือนอะไรๆก็ไปทางทิศเดียวกัน แต่ปัญหา มันมักจะเกิดตอนความคิดเห็นไม่เหมือนกัน มีทะเลาะกันบ้าง ถ้ามันผ่านไปแล้วพินิจดีๆ มันก็จะไม่มีอะไร แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันต่อไป พวกนี้ต้องระวัง คิดต่างทีไร มีปัญหากันทุกที กับกลุ่มนี้ ถ้าทำอะไรแนวเดียวกัน ก็จะดี ไปกันได้ และผมมีเพื่อนส่วนน้อย จริงๆหาได้น้อย ที่ คิดต่างกันตลอดเวลา นั่งถกเถียงกันตลอดเวลา มาเป็นเวลาหลายๆปี...

การแบ่งความรู้ให้คนอื่น คือการทบทวนความรู้ตัวเอง

ความรู้ มันเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรานะ บางคนรู้ บางคนไม่รู้ บางคนแสวงหา บางคนหาทางลัด มันก็มีทางของมัน ในอดีต วิชาความรู้ ที่ได้สั่งสมถ่ายทอดมา จากรุ่นสู่รุ่นนั้น ได้ล้มหายตายจากไปเยอะ เพราะ การสอนเป็นการบอกเล่า จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง รุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งหากแต่ละรุ่นมีอะไรเพิ่มเติม ก็จะเพิ่มไปแล้วส่งต่อ แต่เพียงแต่สมัยก่อน การส่งต่อนั้น ไม่ได้ทำอย่างแพร่หลาย แพร่กระจาย อยู่ที่สำนักใด ก็สืบช่วงกันแต่แค่นั้น ซึ่งมันก็น้อยลงๆ...

คนไทยมีน้ำใจ เลยดูหลอกง่ายไปหน่อย

ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว หากมีอะไร ขอให้คนช่วย ก็ย่อมไม่ผิดหวัง มากน้อยย่อมได้มา ไม่ว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติอะไร คนไทยช่วยกันเสมอ น้ำท่วม ขาดเลือด หรือขอทาน เราก็สนับสนันตามแต่กำลัง เราช่วย เราได้ เรารู้สึกดี มันเป็นจุดที่น่ารัก และก็เป็นจุดอ่อนไปด้วย เพราะบางคน ก็เอาเปรียบเราจากจุดนี้ จากจุดที่ใจอ่อน ขอบริจาค บางที่ก็น่าเชื่อถือ ก็ทำได้ แต่บางที่ลอยๆขึ้นมา...

ให้คนอื่นทำให้ ไม่ใช่สบาย เพราะมันมีความเสี่ยง

การที่มีคนทำอะไรให้นั้น จริงๆแล้วมันก็สบายเรา ที่เราไม่ต้องทำอะไร รอให้คนอื่นทำให้อย่างสำเร็จรูป บางที ก็เพราะว่าตามโลกไม่ทัน เลยต้องให้คนที่ตามโลกทันทำอะไรให้ บางทีก็บ่นเทคโนโลยี มันยากเกินไป สุดท้ายแล้วก็วานให้คนอื่นทำ ดูดีๆแล้วเหมือนจะง่ายเหมือนจะสบาย แต่ถ้าบางทีคนทำให้ไม่ว่าง หรือคนทำให้ไม่อยู่แล้วเราจะทำอย่างไร ชีวิตมันก็จะมีความเสี่ยง การดำเนินเรื่องราวประจำวันคงจะผิดแผกไป การจะโทษอะไรต่างๆนานานั้น ดูดีๆ เพราะเรามีความเคยชินกับอะไรเดิมๆ เดิมๆจนมันกลายเป็นสิ่งล้าหลัง ไม่มีใครใช้ อาทิเช่น เมื่อก่อนดูโทรทัศน์ ต้องเดินไปที่เครื่องเพื่อเปลี่ยนช่อง พอพัฒนาการมาหน่อย ก็มีรีโมทคอนโทร...

หนีปัญหา ย่อมเจอปัญหา

ใครๆก็ไม่ได้อยากเจอปัญหา เพราะขึ้นชื่อว่าปัญหานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่วิธีแก้ปัญหาสำหรับบางคน คือการหนีมัน เลี่ยงมัน บางทีก็หนีได้ แต่หนีปัญหาหนึ่ง ก็ย่อมไปเจอกับอีกปัญหาหนึ่ง เพราะปัญหานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจมันด้วยตัวเองอย่างถ่องแท้มากกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มีของมันอยู่แล้ว และก็อยู่เต็มไปหมด เมื่อหนีไป อาจจะพ้นตอนนี้ แต่ต่อไปก็ย่อมเจออีกจนได้ ฉนั้นการหนีปัญหา ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การเจอปัญหาแล้วเผชิญหน้ากับมันก็ย่อมต้องเข้มแข็งและมีกำลังใจระดับหนึ่ง ต้องมีทัศนคติที่พยายาม และไม่หนีความจริง เมื่อเราเข้าใจในปัญหานั้น เราจะแก้ไขมันได้ หรือถ้าแก้ไม่ได้ ก็ย่อมยอมรับมัน และอยู่กับมันได้...

ใช้คนให้เป็น อย่ามองที่ตำแหน่ง ให้มองที่ความสามารถ

จริงๆแล้วองค์กร มันมีการจัดระดับความสามารถ เพื่อมอบหมายให้ทำงานในหน้าที่ และก็มีการให้ตำแหน่งต่างๆ เพื่อสดวกในการ สั่งการและดำเนินการ ในสมัยก่อน คนๆหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมี สกิล หรือความรู้รอบตัวมากนัก เน้นๆในเรื่องเชิงลึกของงานให้มาก แต่ทุกวันนี้ โลกมันหมุนเร็ว และการบริหารก็เป็นอะไรที่เบลอๆ เราก็ต้องตอบโจทย์ให้ถูกต้อง โดยต้องมองเรื่องธรรมเนียม ประเพณี รวมถึงลำดับขั้นให้น้อยลงไป เราควรปล่อยให้คนทำงานได้ และอยากทำงาน ได้ทำงานที่เขาทำได้และชอบมากกว่า มากกว่าการที่ จะให้คนที่เดินตามตำแหน่งแต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจกับสิ่งที่เขาจะทำ  ...

ขี้เกียจ มันเป็นแรงผลักดันหรือเปล่า

จริงๆ สิ่งรอบๆตัวเรา หรือความรู้สึกต่างๆ ถ้าเรารู้สึกมันได้ เอามานำปรับใช้ มันก็จะทำอะไรๆได้เยอะเหมือนกัน ยิ่งคนเห็นว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี แต่จริงๆดีไม่ดี เพราะคนคิดไปเอง เราเองนั้น ต้องเข้าใจในเนื้อของมัน แล้วเอามาปรับใช้ บางคนตีความของ ขี้เกียจ ว่า ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่ายอมทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรอะไร อันนี้มันไร้ความเจริญและเป็นสิ่งไม่ดีแน่นอน แต่ถ้าพลิกมุมปลายสักนิด แล้วตีความใหม่ของ ขี้เกียจ ว่า เป็นแรงผลักดัน ที่เราจะได้ไม่ต้องทำอะไรเลย...

ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี แต่ถ้ามากไปมันก็เสียเรื่อง

เราคงได้ยินเพลงที่ร้องว่า ความเกรงใจ ความเกรงใจ เป็นสมบัติของผู้ดี ตรองดูซี ทุกคนก็มีหัวใจ เกิดเป็นคน ถ้าหากไม่เกรงใจใคร คนนั้นไซร้ ไร้คุณธรรมประจำตน จริงๆ มีความเกรงใจมันก็ดี แต่ถ้ามีมากเกินไป มันก็เลยจะทำให้เป็นคนอ่อนแอ เหยาะแหยะ ไม่กล้าติดสินใจ เพราะเกรงโน่นเกรงนี่ ที่ทำไปมันอาจจะกระทบกับคน ถ้าว่าด้วยงาน ความเกรงใจนี้ จะเป็นอุปสรรคของความเจริญ เพราะโครงการ โครงสร้าง มีลำดับชัดเจน เพราะมันใช้ตรรกะบริหาร แต่ถ้ามันมีความรู้สึกมาด้วยนั้น...