วันนี้ฉันจะสู้ พรุ่งนี้ฉันจะสู้

คิดจะทำอะไรสักอย่าง มันก็อาจจะเริ่มจากการวางแผน แต่การวางแผนไม่ได้นับว่าเริ่มทำแล้ว เพราะเริ่มทำ มันต้องเริ่มแล้ว สู้แล้ว เกิดอะไรบางอย่างแล้ว หลายคนคิด คิดจากอยากทำ จนไม่ทำ คิดไม่จบก็ไม่ได้เริ่ม คิดรอบโลกแต่เวลาที่เหมาะสมมันผ่านไป คิดเสียดาย คิดไปคิดมาคิดมาก คิดไม่ถือว่าเริ่ม เริ่มคือต้องเริ่ม เวลาที่เริ่มดีที่สุดคือเมื่อวาน ไม่ใช่วันนี้ และแน่นอนถ้ามันเป็นพรุ่งนี้ มันจะพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนไม่ได้เริ่ม  ...

1 ถึง 10

การนับเลข จาก 1 ไปถึง 10 มันก็ต้องนับ 1,2,3…10 ไม่มีนับ 1 และนับ 10เลย และก็ไม่มี นับ 1,2,3 และนับ 10 และมันก็ไม่มี นับ 1,8,5,6,2,4…10 มีแต่นับ1,2,3 ไปถึง 10   ที่ผมอยากจะบอกคือ จะทำอะไรทุกอย่าง...

แป๊กไม่แป๊ก ไม่ได้แปลว่าดีไม่ดี

คนเก่งที่ข้ามาคนเดียว เดี๋ยวนี้ก้ไม่ใช่จะดังแบบมั่งคงได้ คนที่คิดดี ทำเก่ง ก็น่าจะมีเยอะอยู่ แต่สุดท้าย จะไปต่อได้ก็ต้องมีคนช่วยเชียร์ เวลาเรามองบางคนไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้น ทำไมมันดีมันเด่นจัง ผมว่า ก็เพราะเค้ามีเพื่อนเยอะ เพื่อนที่คอยช่วยเหลือและส่งเสริม เพื่อนที่คอยร่วมมือ สนับสนุนให้เรื่องทั่วๆไป ได้โดดเด่นดังขึ้นมาได้   หลายคนเก่ง แต่มองแค่ยอดๆ ที่ปลายทาง เรื่องบางเรื่องมันก็ทำได้ทุกคน แต่มันมีเคล็ดที่ว่า บางคนเท่านั้นแหละที่ทำได้จริงๆ และคนที่ทำได้ เราก็ดันไปเหน็บแนมว่าเพราะมันมีเส้นสาย จริงๆมันก็ไม่ต้องถึงขนาดเส้นสายหรอก...

โหงวเฮ้งที่ดี คือต้องสู้

จริงๆ คนเราก็ชอบดูหมอ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์อะไรก็ตาม จะโหงวเฮ้ง จะลายมือ ดูเลข ดูดาว มันก็บ่งบอกดวงเป็นสถิติ คำถามยอดฮิต มันก็ถามกันทุกคน เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะมีแฟน เมื่อไรจะโน่นนี่ จะให้ถามหมอดูสักร้อยสักพัน ว่าดวงเราจะเป็นอย่างไร หมอดูก็ได้ตอบแต่ตามสถิติหรือศาสตร์ที่ตนร่ำเรียนมา จะถามอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าคนถามได้แต่ถามไม่ทำอะไร โชคดวงจะมาเข้าข้างไหมหนอ คนสู้คนพยายามแทบตาย ยังมีไม่ได้ แต่เขาก็สู้เพราะเขามีหวัง เขาฝันเห็นอนาคต แต่คนที่ถามอย่างเดียวแล้วไม่ทำอะไร หรือถามอย่างเดียวแล้วรอไปเรื่อยๆ...

เมื่อเราประเมิินราคา

สินค้าต่อให้มีราคากลาง มันก็ย่อมมีคำอธิบายว่า คิดราคาจากอะไรบ้าง บ้างก็คิดจากราคาทุน รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ และมีส่วนต่างเป็นกำไร จะเป็น เปอเซน จะเป็นเลขกลมๆ หรืออนุมานก็ตามที จะเป็นราคาของคนอื่นก็ตามที แต่มีกี่ทีที่เราเราประเมินราคาของเราเอง   การประเมินราคาถือเป็นศาสตร์และศิลป์ชั้นสูงที่ต้องใช้ความเข้าใจและประสพการณ์ แต่จริงๆแล้ว คือ ถ้ามีสองฝ่าย ก็ให้ทั้งสองฝ่าย ได้เข้าใกล้กันมาที่สุด คือ นอกเหนือจากราคาความจริงของมัน คือราคาของความคาดหวัง ที่ผู้ซื้อและผู้ขายต้องการ จะทำอะไรอย่างไรก็ได้ให้ทั้งสองได้บรรจบกัน บรรลุข้อตกลงร่วมกัน...

คนที่ละเอียดเกินไป ก็พลาดได้

การที่จดจ่ออะไรสักอย่าง มันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะการทำงานโดยทั่วไปแล้ว มันต้องทำด้วยความละเอียด แต่เมื่อ มุ่งมั่นทำมันอย่างเดียว จนบางครั้ง ทำให้เราลืมสิ่งรอบข้าง ว่าโลกนี้หมุนเร็วเพียงใด การทำงานที่ดี ต้องมองถึงเป้าหมาย รู้รอบ และรู้ครอบ   แต่คนเรามักได้อย่างจะเสียอย่างหรือลืมอีกอย่าง หากไม่ได้มีสติตรวจทานอย่างดีก็จะเกิดความเสียหายได้ คนที่ระเอียดก็มักจะลืมภาพรวม คนที่มองแต่ภาพรวมก็จะไร้ความละเอียด อันนี้เป็นเรื่องคนส่วนใหญ่ บางครั้ง ประสพการณ์ที่พบกับความผิดพลาดมันก็สอนเราหลายๆอย่าง แต่พอถึงเวลาจริงๆ ประสพการณ์ผิดพลาดก็ซ้ำรอยเกิดขึ้นได้ เพราะรีบไป มักลืมฉุกคิด...

when กับ how

จริงๆผมก็ฟังเรื่องราวของคนมาเยอะ ทุกคนก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ แต่พอจะแยกได้ออกมาเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ถาม ว่า when คือเมื่อไร เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะมีแฟน เมื่อไรจะประสพความสำเร็จ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไร เพราะคำว่าเมื่อไรมันก็ต้องมีองค์ประกอบ เช่น ทำแล้ว ปรับแล้ว แก้ไขแล้ว เพราะ มันดูเหมือนถามลอยๆ ถามหมอดู แล้วก็บอกวันเดือนปีเกิด หรือยื่นมือให้ดูลายมือ ต่างๆนานา บ้างก็มี ไปแก้ดวง...

จิตวิญญาณของความถูกต้อง

สิ่งที่เรากระทำ มันจะเป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกขาน คนจะเชื่อใจไม่เชื่อใจ มันก็อยู่ที่ชื่อเสียงมา ชื่อเสียงมันก็มาจาก สิ่งที่คนๆนั้นได้สั่งสม หากทำดี เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดเหตุใดๆก็ตามและยังคงรักษาความดีอยู่ ชื่อก็จะเป็นตัวแทน บางที เราก็ทับศัพท์มาเลย เช่น ล่ำซำ เป็นนามสกุลของเศรษฐี ตระกูลหนึ่ง ที่รวยมาก เราก็ใช้คำว่า ล่ำซำ อธิิบายถึงความรวย ถ้าเราเรียกใครว่าล่ำซำ ก็แปลว่า รวย เพราะชื่อพวกนี้ไม่ได้มาอย่างข้ามคืน มันค่อยๆก่อร่าง...

ความสมดุลย์ของการทำการตลาดระหว่าง off-on line

บ่อยครั้งที่ผมถูกถามว่า อนาคตของการซื้อขายจะเป็นเช่นไร ผมก็จะบอกว่า อุปโภคบริโภค จะหันมาด้าน online มากขึ้น แต่ปัจุบัน มันยังไม่ถึงจุดนั้น การตลาดจึงยังต้องทำควบคู่ผสมผสาน และอัตราส่วนมันก็ต้องอยู่ที่ระดับกลุ่มคนที่กำลังจะก้าวไป ความสมดุลย์ของการตลาด ไม่ใช่ อัตราส่วนที่ 50:50 แต่มันเป็นการตอบโจทย์กลุ่มคน ที่กำลังจะก้าวไปอนาคต ถ้าคนมากน้อยอยู่ขนาดไหนเราก็ทำให้มันไป จะทำการตลาดบริสุทธิเลือกข้าง คนก็ยังไม่แน่ใจ วันนี้กับ 5ปีที่แล้ว มันก็แตกต่างกันมาก แต่มันแตกต่างถ้านับวันนี้กับวันก่อนที่ผ่านมา แต่ความรู้สึกการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน...

เมื่อโอกาสมาถึงด้วยความชอบธรรม รับไปเถอะ

โอกาสจะเป็นสิ่งที่ มันมาของมันตลอด แต่การมาของมัน บางทีคนก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ชอบโอกาสมันบ้าง หรือไม่ชอบบ้าง แต่หลายๆครั้ง เห็นคนที่ปฎิเสธโอกาสแบบไม่รู้จะปฎิเสธทำไม จะบอกว่า ไม่ใช่แนว แต่เมื่อฟ้าพร้อม คนพร้อม ใยต้องเลี่ยงด้วย บางที เพราะความเกรงใจของคนเรา ทำให้เราไม่กล้า การที่จะยืนเป็นแถวหน้า มันก็ไม่ชิน แต่เมื่อถ้ามีใครผลักเราไปยืนเป็นผู้นำ แล้วรอบข้างยินดี ไม่ลองสักหน่อยเหรอ   จะให้ถูกต้องและถูกใจเราอย่างเป็นที่สุดนั้น คงจะแทบไม่มี...