ทำอย่างไรถึงเฮง

ถึงเก่งแค่ไหน ก็สู้เฮงไม่ได้ เก่งอาจจะเรียนรู้ ฝึกฝนได้ ขยันกว่าชาวบ้าน มันก็เก่งกว่าชาวบ้าน พยายามมากกว่าชาวบ้าน มันก็เก่งกว่าชาวบ้าน แต่พอเจอคนเฮงเท่านั้นแหละ ที่เก่งๆ มองตาปริบๆแล้วไปต่อท้ายคนเฮง ที่บอกว่า แข่งอะไรแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้นั้น เพราะแข่งอะไรที่เห็นมันก็รู้ทำอย่างไรมันก็เอาชนะได้ แต่เอาชนะในสิ่งที่มองไม่เห็น มันก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรมีดีแค่ไหน   แต่จริงๆคำว่าเฮง มันไม่ใช่อยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมา มันก็ย่อมมีที่มาที่ไป มันไม่ใช่แค่ความเชื่ิอ แต่ถ้าเราอยากมี เราก็ต้องเชื่อ...

ในแง่ร้ายของความอยาก คือทำให้เราจน

ทุกอย่างมีเหรียญสองด้าน มีดีและไม่ดี แต่ปกติ เวลาคนคุยกัน จะคุยเพียงด้านเดียว เพื่อความสบายใจ เป็นการให้กำลังใจ หรือขัดความไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่มันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะถ้าเราไม่รู้คครบรู้รอบ มันก็จะทำให้เราตัดสินใจเท่าที่รู้และมันน้อยไปไม่เพียงพอ   ความอยาก คำนี้ ทำให้เราดิ้นรน กระเสือกกระสน มานะพยายามเพื่อจะได้มันมา ทำให้มีความตั้งใจไขว่คว้า ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย แต่จริงๆ ความอยากมันก็ไม่เป็นตรรกะอยู่แล้ว เพราะการได้มาในสิ่งบางอย่าง มันไม่มีความจำเป็นต่อชีวิต มันก็สิ้นเปลือง ทั้งทรัพยากร...

สินทรัพย์ของคนขายคือคนซื้อ

ถ้ามีคนซื้อ แต่ไม่มีคนขาย คงกร่อยทีเดียว นักการตลาดที่ดี ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คนอยากซื้อ จะทำแล้วได้ผลไม่ได้ผลก็อยู่ที่ ผลตอบรับ ถ้าทำได้มาก ถือว่าเก่ง ถ้าได้น้อย ก็อาจจะเจ๊งไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งของและอุตสาหกรรม ปกติแล้ว นักการตลาดต้องเป็นคนที่ทันโลกและทันสมัยอยู่เสมอ เข้าใจแรงเหวี่ยงของกระแส ว่าไปทางไหนและต้องทำอย่างไร ทำอะไรกับคนกลุ่มไหนยุคไหนก็มีความแตกต่างในการดำเนินชีวิตของแต่ละกลุ่มนั้นๆ เด็กอาจจะใช้สื่อที่มีความรวดเร็ว ผู้ใหญ่อาจจะต้องใช้วิทยุอยู่ คนเฉพาะทางอาจจะต้องไปจัดกิจกรรมในแหล่งที่เขาพบปะสังสรรค์ ลูกค้าอยู่ที่ไหน เราต้องไปที่นั่นไปตามมาให้ซื้อ ระวังอย่าใช้ผิดประเภทเพราะมันแป๊ก ไม่มีสูตรสำเร็จ มีแต่สูตรที่พลิกแพลง...

ดีเกินไป ย่อมน่าสงสัย

อะไรดีๆ คนก็ชอบ ไม่มีใครชอบอะไรไม่ดี ทุกคนก็มุ่งหวัง และหาอะไรดีๆมาอยู่แล้ว แต่เรามักได้ยินอะไรที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วมาให้เราเช่น ข่าววงใน ทั้งๆ ที่เราไม่มีเส้นสายจริงๆ หรืออยู่ดีๆมีคนมาบอกเรา ด้วยความปรารถนาดี ที่ไม่น่าควรจะมี เช่นเลขล๊อกกองสลาก เลขวงใน มั่นใจว่าถูกแน่ๆ และคนบอกก็ฟังเขามาอีกที ให้สงสัยไว้ก่อน หากมีใครมาทำดีกับเรา ที่มันดีเกินไป มันก็ควรต้องน่าสงสัยไว้ก่อนเช่นกัน เพราะเค้าอาจจะหวังอะไรบางอย่าง แต่ก็อย่าปฎิเสธเขา ด้วยความที่เราไม่รู้จริง ก็ระวังๆไว้ก่อนเป็นดี...

ถึงทำให้เป็นคนที่รักไม่ได้ แต่ก็อย่าให้เกลียดก็ดีพอแล้ว

ใครๆก็อยากเป็นคนที่รักทั้งนั้น แต่เมื่อพยายามทำให้รัก มันก็ต้องรักษาระดับไว้ มันเป็นความคาดหวังที่สูงทีเดียว ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นที่รักได้ ถึงจะพยายามแค่ไหนก็ตาม กลับมาสู่โลกแห่งความจริง ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม มันจะมีสองด้านเสมอ ไม่ว่า จะทำดีแค่ไหนก็ตาม มันก็ต้องมีคนได้ และคนเสีย การที่จะได้ทุกคนนั้น มันถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นได้ยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้มากกว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ แต่การที่จะทำให้ทุกคนที่คิดไปนานาจิตตัง มาชอบนั้น ไม่ได้หรอก แต่การที่ทำตัวไม่ให้คนเกลียดน่าจะง่ายกว่า มันไม่ต้องพยายามทำให้คนชอบ แต่แค่ระวังตัวเองไม่ใช่ทำอะไรโดยไม่คิด ไม่ทำอะไรที่กระทบกระทั่ง...

เมื่อประสพการณ์เรามากขึ้น เราจะหัดโกหกมากขึ้น

ตั้งแต่เด็กๆ เราก็จะโดนสอนเลี้ยงดูให้พูดความจริง ถ้าเราโกหก เราจะถูกทำโทษ เป็นเด็กจะโดนตี จะต้องอดขนม อดเล่นกับเพื่อนๆ มันดูเหมือน ฝึกทำให้คนเป็นคนดี แต่เมื่อเราโตขึ้น โลกมันกลับกัน เมื่อเราพูดความจริง เราอาจจะเจอปัญหาได้ง่ายๆ สิ่งที่ขัดกับความถูกต้อง มักอยู่รอบๆตัวเรา การอยู่รอดเราต้องข้ามความจริง ต้องหัดโกหก ทั้งๆที่เรารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง เราก็ต้องทำ เพื่อความอยู่รอด การอยู่รอด มันต้องใช้การโกหกประกอบ แต่จริงๆแล้วโกหก มันก็ไม่ได้ผิดนักหรอก ถ้าโกหกในทางที่ดี...

อากาศร้อน น้ำท่วม รถติด อย่าโทษปัญหา

ประเทศเรา เป็นประเทศที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงรอดได้ หน่วยงานต่างๆเป็นของรัฐ ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออย่างยั่งยืนได้ทุกคน จะมาโวยวาย บอกว่า ต้องเป็นอำนาจรัฐ แก้นั้น รัฐเองก็มีเรื่องระดับความสำคัญที่เขาต้องจัดอันดับดูแล และแน่นอน คงไม่มาถึงเราอันเร็วเป็นแน่   การเอาตัวรอด หรือการอยู่ในเป็นปกติสุขนั้น มันเป็นสิ่งที่ต้องอยู่ในจิตของเราๆท่านๆทั้งหลาย ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน หากพึ่งตนเองได้รอดแล้ว การจะเป็นที่พึ่งหรือช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นได้ แต่หากมีจิตอยากช่วยคนอื่น แต่ยังเอาตัวเองไม่รอด ก็คงกอดคอจมน้ำตายด้วยความหวังดี   คิดอ่านอะไร เอาความจริงเข้าว่า...

ในตลาดกว้างใหญ่ มันต้องมีโอกาสของเราซ่อนอยู่

ตลาดทุกวันนี้ การที่จะแทรกตัวเราไปอยู่ในนั้นมันยาก เพราะ ขาใหญ่ ทำอะไรแข็งแรงกว่าเรา ต้นทุนต่ำกว่าเรา ช่องทางก็ดีกว่าเรา ทำให้เรามองไปมันก็ท้อ ด้วยเหตุที่ท้อเพราะ เราอยากทำเหมือนเขา เมื่ออยากทำเหมือนเขา แต่แข็งแรงสู้เขาไม่ได้ มันก็ไม่มีโอกาส มองตาปริบๆไป แต่ในบางครั้งถ้าเราเปลี่ยนมุมใหม่ เป็นการช่วยเขา ทำให้เขาดีขึ้น เพราะเรา หรือส่งเสริม ช่วยเหลือให้มันดีขึ้น เราก็อาจจะมีโอกาสขึ้นมา ในสนามตลาดอันโหดร้าย ยกตัวอย่าง สมัยนี้ ขายคอมพิวเตอร์...

คนทั่วไปยังเต็มไปด้วยหนี้

คนส่วนใหญ่แทบทุกคนเป็นหนี้ คนที่ไม่เป็นหนี้ ถือว่าเป็นคนส่วนน้อยที่โชคดี ยากดีมีจนไม่เท่าไร แต่ถ้าเป็นหนี้คือมีภาระหนี้สินติดพันแน่นอน หนี้ในมุมมองของผมแยกเป็น 2 แบบ 1 หนี้ที่ก่อเพื่อ อนาคต เช่น กู้ยืมมาลงทุน ขยายกิจการ ดำเนินธุรกิจ อันนี้ถือว่าดี เพราะเป็นสิ่งที่ทำเกินตัวเพื่ออนาคต อาจจะมีความเสี่ยง แต่เสี่ยงแล้วมีโอกาส 2 หนี้ที่ก่อเกิดเพื่อความสุข และความสบาย เป็นหนี้ที่ก่อแล้วไม่เกิดรายได้ เช่นเอาเงินซื้อรถ ซื้อตู้เย็น...

จะคิดทำอะไรก็ได้ แต่หน้าที่ตัวเองต้องทำให้เรียบร้อยก่อน

การที่ตัวเองจะคิดว่า เราทำอะไรก็ได้ ไม่เป็นภาระใคร เราทำอะไรเอง คนอื่นก็ไม่ต้องยุ่งนั้น มันหยาบมาก เพราะจริงๆแล้ว ตัวเองมันมีหน้าที่อยู่ที่หลายๆคนมองข้าม หน้าที่ๆเราต้องทำในชีวิตประจำวัน หน้าที่ที่เราต้องมีต่อคนรอบข้างโดยเฉพาะครอบครัว หากเราตั้งใจจริงอะไรสักอย่าง ก็เห็นด้วยที่จะมุ่งมั่น การตัดในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่การตัดในสิ่งจำเป็น ถึงแม้ไม่เกี่ยวข้องกับที่เรามุ่งมั่นนั้น ย่อมไม่ดีแน่ ถ้าเราเป็นนักเรียน เราก็ต้องเรียนให้ได้อยู่ในระดับที่คนไม่ต้องเป็นห่วงเรา ไม่ต้องเก่งที่สุดแต่ก็ต้องไม่ทำให้ห่วยแตกจนคนรอบข้างเป็นห่วงและติเตียน เลิกเพ้อเจ้อกับความฝันลอยๆ เช่น ออกจากงานมามุ่งในงานอย่างเดียว การศึกษา นั้นเป็นตัวบ่มเพาะตัวให้มีความรู้ แถมยังต้องควรมีสติในการพินิจ...